THE CALL OF THE WILD เสียงเพรียกจากพงไพร

THE CALL OF THE WILD เสียงเพรียกจากพงไพร

เข้าฉาย: 27 กุมภาพันธ์ 2563

ประเภท: ดราม่า

ผู้กำกับ: คริส แซนเดอร์ส

นักแสดง: แฮริสัน ฟอร์ด, แดน สตีเวนส์, โอมาร์ ซาย, คาเรน กิลลัน, แบรดลีย์ วิทฟอร์ด, และโคลิน วูเดลล์

THE CALL OF THE WILD เสียงเพรียกจากพงไพร
THE CALL OF THE WILD เสียงเพรียกจากพงไพร

THE CALL OF THE WILD – เสียงเพรียกจากพงไพร จากเทวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อดังสุดคลาสสิคมาสู่จอภาพยนตร์ กับเรื่องราวของ บั๊ค สุนัขใจดีที่ชีวิตในเมืองอันสงบสุขของเขาพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเขาต้องย้ายถิ่นฐานจากบ้านในแคลิฟอร์เนียอย่างกระทันหัน ไปสู่พื้นที่ป่าอันแสนวิจิตรในยูคอน แคนาดา ในช่วงตื่นทองของปีค.ศ. 1890 ด้วยความเป็นสมาชิกใหม่ของทีมสุนัขลากเลื่อนส่งจดหมาย จนกลายมาเป็นจ่าฝูง บั๊ค ได้พบกับสุดยอดการผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ของชีวิต กับการค้นพบจุดยืนที่แท้จริงในโลกนี้และกลายเป็นนายของตัวเอง

THE CALL OF THE WILD
เสียงเพรียกจากพงไพร

THE CALL OF THE WILD – เสียงเพรียกจากพงไพร ภาพยนตร์ไลฟ์-แอ็คชั่นผสมแอนิเมชั่น ที่ใช้เทคโนโลยีด้านภาพและแอนิเมชั่นสุดทันสมัย ในการสร้างตัวละครสัตว์ต่างๆในภาพยนตร์ ให้เหมือนจริงและตรงตามธรรมชาติที่สุด กำกับโดยคริส แซนเดอร์ส จากบทภาพยนตร์โดยไมเคิล กรีน จากนวนิยายโดยแจ็ค ลอนดอน อำนวยการสร้างโดยเออร์วิน สตอฟฟ์ โดยมีไดอาน่า โพคอร์นี เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร และไรอัน สตาฟฟอร์ด ผู้อำนวยการสร้างร่วม และผู้อำนวยการสร้างด้านเทคนิคพิเศษด้านภาพ THE CALL OF THE WILD – เสียงเพรียกจากพงไพร นำแสดงโดยแฮริสัน ฟอร์ด, แดน สตีเวนส์, โอมาร์ ซาย, คาเรน กิลลัน, แบรดลีย์ วิทฟอร์ด, และโคลิน วูเดลล์

THE CALL OF THE WILD – เสียงเพรียกจากพงไพร

THE CALL OF THE WILD

Release Date: Feb. 27th 2020

Genre: Drama

Director: Chris Sanders

Cast: Harrison Ford, Dan Stevens, Omar Sy, Karen Gillan, Bradley Whitford and Colin Woodell.

Adapted from the beloved literary classic, 20th Century Fox’s THE CALL OF THE WILD vividly brings to the screen the story of Buck, a big-hearted dog whose blissful domestic life is turned upside down when he is suddenly uprooted from his California home and transplanted to the exotic wilds of the Canadian Yukon during the Gold Rush of the 1890s. As the newest rookie on a mail delivery dog sled team–and later its leader–Buck experiences the adventure of a lifetime, ultimately finding his true place in the world and becoming his own master. 

THE CALL OF THE WILD เสียงเพรียกจากพงไพร

As a live-action/animation hybrid, THE CALL OF THE WILD employs cutting edge visual effects and animation technology in order to render the animals in the film as fully photorealistic–and emotionally authentic–characters. Directed by Chris Sanders from a screenplay by Michael Green, based on the novel by Jack London, the film was produced by Erwin Stoff, with Diana Pokorny serving as executive producer and Ryan Stafford as co-producer and visual effects producer. THE CALL OF THE WILD stars Harrison Ford, Dan Stevens, Omar Sy, Karen Gillan, Bradley Whitford and Colin Woodell.

ข้อมูลงานสร้าง

                THE CALL OF THE WILD ที่สร้างจากการผจญภัยในตำนานจากปลายปากกาของแจ็ค ลอนดอน เป็นประสบการณ์ภาพยนตร์ที่ชีวิตหนึ่งเราจะเจอสักครั้งหนึ่ง ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ได้เนรมิตเรื่องราวของ บั๊ค สุนัขใจดี ผู้ซึ่งชีวิตแสนสุขในเมืองของเขามีอันต้องพลิกผัน เมื่อจู่ๆ เขาก็ต้องอำลาจากบ้านในแคลิฟอร์เนียของเขาไปสู่ผืนป่าที่งดงามในยูคอน ประเทศแคนาดา ระหว่างยุคตื่นทองในทศวรรษที่ 1890s ในฐานะน้องใหม่ของทีมสุนัขลากเลื่อนเพื่อส่งไปรษณีย์ ก่อนจะกลายเป็นผู้นำทีมในภายหลัง บั๊คได้เข้าร่วมการเดินทางสุดพิเศษที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นและท้ายที่สุดแล้ว ก็ทำให้เขาได้ค้นพบที่ทางที่แท้จริงของเขาในโลกใบนี้และกลายเป็นนายของตัวเอง

THE CALL OF THE WILD
เสียงเพรียกจากพงไพร

                THE CALL OF THE WILD ที่ใช้วิชวล เอฟเฟ็กต์และเทคโนโลยีแอนิเมชั่นทันสมัยในการสร้างบรรดาสัตว์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เป็นตัวละครที่มีความสมจริงและถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา เป็นลูกผสมระหว่างการถ่ายทำแบบไลฟ์แอ็กชั่นและแอนิเมชั่น แฮร์ริสัน ฟอร์ด หนึ่งในพระเอกที่โด่งดังและได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล เป็นผู้นำทีมนักแสดงที่รวมถึง โอมาร์ ซาย (The Intouchables), แดน สตีเวนส์ (Downton Abbey), คาเรน กิลลัน (Guardians of the Galaxy) และแบรดลีย์ วิทฟอร์ด (Get Out) คริส แซนเดอร์ส (How to Train Your Dragon) เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยไมเคิล กรีน (Murder on the Orient Express) อำนวยการสร้างโดยเออร์วิน สตอฟฟ์, พี.จี.เอ. (Unbroken) และเจมส์ แมนโกลด์, พี.จี.เอ. (Ford v Ferrari) โดยมีไดอาน่า โพคอร์นี (Downsizing) และไรอัน สตาฟฟอร์ด (War for the Planet of the Apes) รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

                ทีมงานเบื้องหลังรวมถึงผู้กำกับภาพเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด จานัส คามินสกี้ (Schindler’s List, Saving Private Ryan), ผู้ออกแบบงานสร้าง สเตฟาน เดอแชนท์ (Welcome to Marwen), มือลำดับภาพ วิลเลียม ฮอย, เอ.ซี.อี. (War for the Planet of the Apes) และเดวิด ไฮน์ซ (American Folk), นักประพันธ์ จอห์น พาวเวลล์ (How to Train Your Dragon) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย (Suicide Squad)

                ก่อนหน้าการตีพิมพ์ในรูปแบบนิยายขนาดสั้นในปี 1903 การผจญภัยของแจ็ค ลอนดอน ตำนานเกี่ยวกับสุนัขที่ชื่อ บั๊ค ถูกพิมพ์เป็นรายตอนในนิตยสาร “The Saturday Evening Post” หนังสือเรื่องนี้ ที่ได้รับการแปลใน 47 ภาษา ได้รับการตีพิมพ์อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่นั้นมา นับเป็นตัวอย่างของวรรณคดีอเมริกันคลาสสิกอมตะโดยแท้

                สำหรับมือเขียนบทไมเคิล กรีน “มันมีเหตุผลที่ทำให้ The Call of the Wild กลายเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ มันเข้าถึงผู้คนมากมายในระดับต่างๆ กัน มันเป็นเรื่องราวการเดินทางผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ตามแบบฉบับของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน และเล่าให้ผู้คนฟังเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ในอเมริกาเหนือที่พวกเขาเคยได้ยิน แต่เคยแต่เห็นภาพเท่านั้น เคยมีกระแสในอเมริกาเกี่ยวกับการตื่นทองที่คลอนไดค์ หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ผู้คนไม่ได้ตระหนักด้วยซ้ำไปว่า ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นบนหลังของเจ้าสี่ขา

                “นี่เป็นเรื่องราวของสุนัขวัยรุ่นที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของสุนัขทุกตัวที่พวกเขาจะต้องปกป้องตัวเอง ปกป้องฝูง ปกป้องเจ้าของ มันมีสัญชาตญาณแบบหมาป่าภายในตัวพวกเขา ที่บางตัวสามารถเข้าถึงได้อย่างมาก แต่ก็ถูกผลักดันไปยังทิศทางที่ถูกต้อง แล้วคุณก็จะเจอสุนัขอย่างบั๊คที่จะต้องผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายและยากลำบากเพื่อที่จะค้นพบสัญชาตญาณนั้นภายในตัวเองน่ะครับ”

THE CALL OF THE WILD
เสียงเพรียกจากพงไพร

                พ่อของผู้อำนวยการสร้างเออร์วิน สตอฟฟ์ได้แนะนำให้เขารู้จักกับ The Call of the Wild เป็นครั้งแรก ด้วยการอ่านนิยายเรื่องนี้ให้เขาฟังสมัยเขาเป็นเด็กเล็กๆ ในโรมาเนีย เร่งเวลามาหลายทศวรรษและข้ามระยะทางหลายพันไมล์ไปสู่ลอสแองเจลิส “ในสุดสัปดาห์หนึ่ง ผมคุยโทรศัพท์กับไมเคิล กรีนถึงเรื่องที่ว่าเขาอยากจะเขียนบทหนังเรื่องไหนต่อไป เขาบอกว่าเขาอยากจะเขียนอะไรที่อลังการมากๆ ที่มีองค์ประกอบทางวิชวลมากมายและไม่ต้องอาศัยไดอะล็อคที่ ‘คมกริบ’ เขาส่งนิยายภาพเกี่ยวกับหมาป่ามาให้ผมและผมก็บอกว่า ถ้าเราจะไปอยู่ในโลกแบบนั้น เราน่าจะลองนึกถึง The Call of the Wild กันนะ”

                “ผมคิดว่าเหตุผลที่เรื่องราวนี้อยู่มาได้นานกว่า 100 ปีคือมันมีองค์ประกอบบางอย่างที่มีความเป็นสากล เหมือนกับวรรณคดีเยี่ยมๆ ทุกเรื่อง” สตอฟฟ์อธิบาย “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสูญเสีย การฟื้นตัวจากความสูญเสีย บ้านและการถูกพรากจากบ้าน และที่อาจจะสำคัญที่สุดคือการค้นหาตัวคุณที่ดีกว่าเดิมและแข็งแกร่งกว่าเดิมครับ”

                “เมื่อพูดถึงเรื่องของอารมณ์และธีมแล้ว มันเป็นแนวคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาที่สุด ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองสั่นไหวไปกับเรื่องในแง่ลบ เป็นผู้ที่ดึงส่วนที่ดีที่สุดในตัวเราทุกคนออกมา และการที่สิ่งนั้นพัฒนาชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น ทุกคนที่ได้พบเจอกับบั๊คมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นตัวกระตุ้นทางอารมณ์ที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะครับ”

                “ไมเคิลสามารถเปลี่ยนแปลงและเน้นเรื่องราวได้มากพอที่จะทำให้เหมาะกับการเป็นหนังครับ” สตอฟฟ์กล่าว

                สิ่งที่ทำให้ไมเคิล กรีนสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้คือความจริงที่ว่าเรื่องราวนี้ถูกบอกเล่ามาแล้วหลายรูปแบบตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่เคยที่มันจะถูกบอกเล่าทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ และมันก็มักจะถูกบอกเล่าจากมุมมองของมนุษย์ แทนที่จะเป็นตัวเอกอย่างบั๊ค

                กรีนเล่าว่า “ผมนั่งคุยกับเออร์วินว่า คงจะวิเศษไปเลยถ้าจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับการทำความรู้จักกับตัวละคร และความเป็นไปของเขา โดยไม่พึ่งไดอะล็อคน่ะครับ

                “เราอยากจะดูว่าเราจะสามารถเล่าเรื่องราวของบั๊คด้วยภาพได้รึเปล่า เราไม่ต้องการให้เขาพูด เราไม่ต้องการเสียงบรรยาย แต่เราอยากจะนำเสนออย่างชัดเจนถึงสิ่งที่บั๊คต้องการในทุกชั่วขณะ ตราบใดที่เรารู้ว่าบั๊คกำลังพยายามทำอะไรในแต่ละฉาก ในแต่ละช่วงเวลา เราก็รู้ว่าคุณสามารถตามเรื่องราวได้ทัน แม้ว่าเขาจะเจอกับมนุษย์ที่วิเศษสุด ที่รับบทโดยนักแสดงที่เหลือเชื่อ พวกเขาก็จะเป็นแค่ตัวเสริมสำหรับเรื่องราวของบั๊คเท่านั้น

                คริส แซนเดอร์ส ผู้เปิดตัวผลงานไลฟ์แอ็กชั่นเรื่องแรกกล่าวว่า “THE CALL OF THE WILD เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวละครที่พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่คุณและผมอาจจะมองว่าก็เป็นเรื่องที่ชีวิตต้องพบเจอ ความท้าทายที่ไม่คาดฝันอาจจะทำให้คุณพ่ายแพ้หรือทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นก็ได้ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบั๊ค แทนที่เขาจะยอมจำนนกับเหตุพลิกผันต่างๆ นี้ บั๊คกลับเดินหน้าไปเรื่อยๆ และท้ายที่สุดแล้ว เขาก็พบที่ของตัวเอง บั๊คไม่ได้แค่มีชีวิตรอดเท่านั้น แต่เขามีชัยชนะ และเขาก็ทำได้โดยที่คงความอ่อนโยนของตัวเองเอาไว้ได้ มันใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องพบเจอในชีวิตเหลือเกิน เพราะเรามักจะไปเจอกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึงและไม่แน่นอนแบบนั้นเสมอๆ ครับ”

                “แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวคลาสสิกสมัยเด็ก” แซนเดอร์ส “แต่มันก็ไม่ใช่เทพนิยาย มันเป็นเรื่องราวสมจริงของความอดทนและการเอาชีวิตรอด ที่ไม่ว่าคุณจะอายุน้อยหรือมาก ผมคิดว่าคุณก็คงต้องเคยเจอกับอะไรแบบนี้มาบ้าง คุณจะรู้สึกได้ว่าเรื่องราวนี้มีความจริงในแบบที่คุณเองก็เคยเจอซ่อนอยู่ครับ และผมก็คิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องราวนี้เป็นอมตะ มันเป็นเรื่องราวของตัวละครที่ค้นพบความเข็มแข็งที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองมีน่ะครับ”

การสร้างบั๊ค

                ใน THE CALL OF THE WILD เวอร์ชั่นภาพยนตร์แห่งศตวรรษที่ 21 นี้ บั๊คจะเป็นผู้แบกรับแกนความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ตลอดทั้งเรื่อง ดังนั้น เขาก็จะต้องเป็นตัวละครที่น่าเชื่อในทุกสถานการณ์ ในการนั้น สตอฟฟ์และแซนเดอร์สได้เลือกไรอัน สตาฟฟอร์ด ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่โด่งดัง ผู้ควบหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารของเรื่อง และอีริค แนช ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสามสมัยมาร่วมงานด้วย

                สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ตอนแรกถูกวางแผนเอาไว้ว่าจะถูกขับเคลื่อนด้วย CGI เป็นส่วนใหญ่ ทีมผู้สร้างกลับตัดสินใจเลือกแนวทางของการผสมผสานมากขึ้น ด้วยการใช้ภาพจริงๆ มาประสานกับสุนัขและสัตว์อื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นแบบดิจิตอลมากขึ้น แนวทางนี้ทำให้บั๊ค ตัวละครเอกของเรื่อง ผู้ต้องแบกรับแกนความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเรื่อง ต้องมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น

                ตามคำเสนอแนะของสตาฟฟอร์ด สำหรับฉากที่เกี่ยวกับบั๊ค แทนที่จะใช้แค่ตัวกำหนดจุด ซึ่งปกติจะเป็นลูกเทนนิส พวกเขาก็ใช้คนจริงๆ ที่พวกเขาจะถ่ายทำและแทนที่ด้วยแอนิเมชั่นในภายหลังตรงนั้น เทอร์รี นอทารี ผู้เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงคณะละครสัตว์เซิร์ค ดู โซเลย และกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนไหวและผู้ออกแบบท่าเคลื่อนไหวระดับแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ ได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการศึกษาสุนัขและเรียนรู้อากัปกิริยาของพกวเขา รวมถึงการฝึกฝนอากัปกิริยาและการเคลื่อนไหวของพวกเขาไปด้วย

                ผู้อำนวยการสร้างสตอฟฟ์ไม่เชื่อเลยว่ามันจะใช้การได้จริง “มันเป็นไอเดียพิลึกๆ และผมก็ไม่รู้ว่าทีมนักแสดงจะมีปฏิกิริยายังไงกับมัน เพราะมันเป็นการที่ผู้ชายตัวโตคนหนึ่งลงคลานสี่ขา สวมชุดสีเทาตลกๆ มีขาหน้าปลอมๆ สวมบทเป็นสุนัข แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เฉียบแหลมเพราะเทอร์รีแสดงได้อย่างทุ่มเทจนทำให้การแสดงของนักแสดงทุกคนดีขึ้นครับ”

                “เขานำอารมณ์ของบั๊คมาสู่กองถ่ายครับ” สตาฟฟอร์ดกล่าว

                ตอนแรก เขากับแนชคิดว่าพวกเขาจะใช้นอทารีสำหรับการแสดงสีหน้าและอารมณ์เท่านั้น ซึ่งหมายถึงแววตา ความเศร้า ความดีใจ ฯลฯ สำหรับฉากโคลสอัพ พวกเขาไม่คิดฝันเลยว่า คน/สุนัขของพวกเขาจะสามารถต่อสู้ กระโดดหรือทำในเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบบั๊คได้

                แต่เมื่อถึงตอนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องการให้บั๊คทำ เทอร์รีกลับบอกว่า “ผมทำได้นะ”

                จากจุดนั้นเป็นต้นมา เทอร์รีก็รับหน้าที่ในการเคลื่อนไหวทั้งหมด

                สตาฟฟอร์ดอธิบายว่า “ทุกอย่างไปได้สวยมากๆ เพราะเราต้องการในเรื่องของการกะจังหวะ การวางตำแหน่งในเรื่องของขนาดและสายตาเหมือนกัน มันทำให้นักแสดงมีอะไรให้พวกเขาแสดงด้วยได้ ผมได้สร้างหนังโมชันแคปเจอร์มาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งคุณจะได้การแสดงที่มีคุณภาพสูงจากนักแสดงก็ต่อเมื่อพวกเขามีอะไรบางอย่างให้แสดงด้วย และพอคุณเอาสิ่งนั้นไป ทำให้พวกเขาแสดงกับความว่างเปล่า มันก็จะลดทอนการแสดงนั้นลงครับ การแสดงกับความว่างเปล่าเป็นเรื่องยากจริงๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาของความดรามาน่ะครับ”

                แนชกล่าวว่า “ในตอนเริ่มต้น ผมยังไม่ทันได้ซาบซึ้งเลยว่าการมีเทอร์รีในกองถ่ายเพื่อรับบทบั๊คจะจำเป็นและสำคัญแค่ไหน แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง หนึ่งคือมันทำให้คริสมีนักแสดงให้ได้พูดคุยด้วย ทำให้เขาสามารถดึงเอาการแสดงจากตัวนักแสดงคนนั้นออกมาได้เพื่อเริ่มต้นปูพื้นฐานสำหรับการแสดงของบั๊ค นอกเหนือจากนั้น การมีเทอร์รีในกองถ่ายสำหรับให้นักแสดงคนอื่นๆ ได้เข้าถึง ได้รับส่งบทและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ”

                ผู้กำกับแซนเดอร์สเองก็แสดงความพึงพอใจเช่นกัน “เทอร์รีเป็นบุคคลที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เขาจะแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่เขาทำยังต้องใช้เรี่ยวแรงอย่างเหลือเชื่อด้วย จังหวะของสุนัขเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงมากๆ เพราะมันมีความคาดเดาไม่ได้บางอย่าง พวกเขาจะมีช่วงเวลาพิลึกๆ ที่พวกเขาจะเอียงคอ กะพริบตาหรือเบือนหน้าไปแวบหนึ่ง ซึ่งเขาก็สามารถทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ และในขณะเดียวกัน ก็ก้าวข้ามกายภาพความเป็นมนุษย์ของตัวเองได้ด้วย มีบางช่วงเวลาที่เขาต้องนอนลงหรือยืนขึ้น ซึ่งลักษณะการขยับหัวและไหล่ของเขาก็แตกต่างจากสุนัขมากๆ สุนัขจะมีไหล่ที่แคบกว่าเขา ซึ่งไม่มีทางไหนที่เขาทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นได้ ดังนั้น เขาก็จะต้องจัดการกับเรื่องนั้นเพื่อให้ฉากนั้นผ่านไปให้ได้ถ้ามันมีมาตรบางอย่างที่แคบกว่านั้นที่เขาจะต้องลอดผ่านไปให้ได้น่ะครับ”

                สตาฟฟอร์ดกล่าวเสริมว่า “คริสเกิดแรงบันดาลใจจากการที่ให้บั๊คทำอะไรบางอย่างที่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำตั้งแต่ทีแรกก่อนที่เขาจะได้เห็นเลย์เอาท์ของฉากนั้นๆ ก่อนที่เขาจะได้เห็นว่าตัวละครมนุษย์จะทำอะไรบ้าง เทอร์รีอยู่ในฉากตรงนั้น และสามารถตอบสนองกับเรื่องนั้นได้”

                ด้วยความที่บั๊คเป็นตัวละครเอกของเรื่อง ตอนแรก ทีมผู้สร้างก็เลยพยายามที่จะสร้างสุนัขตามที่แจ็ค ลอนดอนบรรยายเอาไว้ว่าเป็นลูกผสมระหว่างเซนต์เบอร์นาร์ดและฟาร์มา คอลลีขึ้นมา พวกเขาสร้างบั๊คขึ้นมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้และลงสีเขาเหมือนกับสุนัขพันธุ์เบอร์นิส เมาน์เทน เพราะพวกเขารู้สึกว่าสีนั้นน่าจะโดดเด่นบนหน้าจอ พวกเขาถึงขนาดเอาสุนัขพันธุ์เบอร์นิส เมาน์เทนของจริงมาอยู่ในกองถ่ายทุกวันเพื่อใช้อ้างอิงในเรื่องของแสงด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็สังเกตว่าการอ่านสีหน้าท่าทางของสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่องยากแค่ไหน และขนสีเข้มของเขาก็ทำให้การมองเห็นเขาในตอนกลางคืนเป็นเรื่องยากอีกด้วย

                หลังจากเริ่มถ่ายทำไปหลายสัปดาห์ เจสสิกา ภรรยาของผู้กำกับแซนเดอร์สบังเอิญได้เปิดดูเว็บเพ็ตไฟน์เดอร์ และเจอสุนัขที่เป็นลูกผสมระหว่างเซนต์เบอร์นาร์ด/เชพเพิร์ดเข้า ไม่เพียงแต่นี่จะเป็นพันธุ์ผสมตามอย่างที่ลอนดอนบรรยายเอาไว้พอดิบพอดีเท่านั้น แต่ชื่อของสุนัขตามที่ปรากฏยังเป็น “บัคลีย์” อีกด้วย มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินกว่าจะไม่ล้วงลึกลงไปอีกได้ และเจสก็ทิ้งทุกอย่างและขับรถไปยังสถานสงเคราะห์ที่เอ็มโพเรียในแคนซัสเพื่อพบกับบัคลีย์ มันเป็นรรักแรกพบ เจสจ่ายค่าอุปการะ 25 เหรียญและขับรถกลับไปกองถ่ายภายในสองวัน บัคลีย์เป็นที่นิยมในกลุ่มทีมงานในทันที และเออร์วินก็เสนอให้พวกเขาสแกนภาพบัคลีย์และทำให้เขาเป็นตัวเอก ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ

                บัคเป็นเพียงแค่หนึ่งในทีมสุนัขลากเลื่อนเก้าตัวที่เดินทางในเขตยูคอน ผ่านหิมะ หิมะฝน ฝนหรือโคลน ในการสร้างสุนัขตัวอื่นๆ อีกแปดตัว ทีมงานเลือกที่จะนำสุนัขจริงๆ มาสแกน เมื่อสแกนเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีการขัดเกลารายละเอียดต่างๆ ให้สมบูรณ์แบบและติดตั้งกลไกเข้าไป พวกเขาได้ประกาศคัดเลือกนักแสดงและเลือกสุนัขหลากหลายพันธุ์ตามบุคลิกที่พวกเขาต้องการสำหรับทีม

เพื่อนร่วมแสดงมนุษย์ของบัค

                “ตามที่ผมคิด” เออร์วิน สตอฟฟ์กล่าว “ใครก็ตามที่ได้ทำงานกับแฮร์ริสัน ฟอร์ดเป็นคนโชคดี โชคดีจริงๆ เขาเป็นมือโปรสุดๆ และเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เก่งที่สุดที่ทำงานในปัจจุบันนี้ครับ”

                ฟอร์ด ผู้โด่งดังที่สุดจากการสวมบทวีรบุรุษจอเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดและเป็นภาพจำมากที่สุดสองคนในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ อย่างฮัน โซโลจาก Star Wars และอินเดียนา โจนส์จาก Raiders of the Lost Ark รู้สึกสนใจโปรเจ็กต์นี้ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการด้วยกัน ข้อแรก เขาชื่นชอบโอกาสในการได้แสดงภาพยนตร์สำหรับผู้ชมอายุน้อย ข้อสอง เขาสนใจวิธีการที่ทีมผู้สร้างจะใช้สร้างบั๊คและสุนัขตัวอื่นๆ ในคอมพิวเตอร์ และการที่มันทำให้เขาต้องแสดงคู่กับสแตนด์อินสุนัขที่เป็นคน ฟอร์ดกล่าวว่า “หนึ่งในรายละเอียดที่น่าสนใจที่สุดในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือมันไม่มีสุนัขให้ทำงานด้วย แต่กลับมีสแตนด์อินที่เป็นคนมาแสดงแทนบั๊ค เพื่อจัดระเบียบระดับสายตาของผมและทำให้ผมมีคนที่ผมจะมีอารมณ์ร่วมได้ ตอนแรกมันก็เป็นเรื่องท้าทายนิดๆ แต่มันก็กลายเป็นเรื่องสนุกทีเดียวครับ”

                เขากล่าวเสริมว่า “ผมใช้เวลากับเทอร์รีมากกว่าคนอื่นๆ ในหนังเรื่องนี้ เราช่วยกันและกันในการทำสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้สำเร็จ ผมแสดงเพื่อเขาเช่นเดียวกับที่เขาแสดงเพื่อผม เราอยู่ตรงนั้นเพื่อกันและกันครับ”

                ผู้กำกับแซนเดอร์สกล่าวว่า แฮร์ริสันได้นำอะไรมาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้มากมาย “ในหนังสือ ธอร์นตันได้ผ่านสถานการณ์บางอย่างกับบั๊ค แต่ผมคิดว่าตัวละครของเขาไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ และผมคิดว่าหนึ่งในสิ่งวิเศษสุดที่แฮร์ริสันทำตลอดกระบวนการทั้งหมดนี้คือเขาสามารถค้นพบตัวละครตัวนั้นและสร้างตัวละครตัวนั้นได้ และเขาก็ได้สร้างคำจำกัดความให้กับตัวละครตัวนี้ได้จริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้น เขากับผมจะพูดคุยกันอย่างลงลึกเกี่ยวกับตัวละครของเขาครับ”

                บทสนทนาเหล่านี้ทำให้ฟอร์ดเข้าใจว่าหน้าที่ของตัวละครของเขาในเรื่องราวนี้คือการกอบกู้ภาพลักษณ์ความเป็นมนุษย์ในสายตาของบั๊ค หลังจากที่เขาเคยเจอกับเจ้าของที่ทำทารุณกับเขามาแล้ว

                แต่สำหรับตัวนักแสดงผู้นี้ ผู้ที่ปัจจุบันเลี้ยงสุนัขเล็กๆ สามตัวและเคยเลี้ยงสุนัขมาทั้งชีวิต สิ่งที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจเป็นพิเศษคือภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของบั๊คเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเปลี่ยนแปลงของจอห์น ธอร์นตัน ตัวละครของเขา ซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากความสัมพันธ์ที่เขามีกับบั๊คอีกด้วย

                ฟอร์ดอธิบายว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมมองหาเสมอในโปรเจ็กต์หนึ่งๆ คือสิ่งที่ผมเรียกว่าการออกกำลังกายทางอารมณ์สำหรับผู้ชม โอกาสในการได้มีส่วนร่วมในเรื่องราวที่พวกเขาจะจดจำตัวเองได้และสร้างพลังของความเห็นอกเห็นใจขึ้นในกลุ่มผู้ชมน่ะครับ”

                ฟอร์ดอธิบายถึงตัวละครของเขาว่า “จอห์น ธอร์นตันเป็นคนที่รู้สึกอึดอัดกับชีวิตและโลกใบนี้ เขาไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดและภาระที่เกิดจากสถานการณ์ของเขาได้ ดังนั้น เขาก็เลยหนีจากบ้านของเขาที่อยู่ทางใต้ไปสู่ยูคอน ที่ซึ่งเขาจะสามารถเจอทองคำและร่ำรวยขึ้นมาได้ และเขาก็มีเหตุผลที่สะเทือนอารมณ์อีกข้อหนึ่งด้วย นั่นคือลูกชายตัวน้อยของเขาอยากจะสำรวจป่ามาโดยตลอด แต่จริงๆ แล้ว เขาไปที่นั่นเพื่อหาความสงบสุขและความสันโดษครับ”

                เขากล่าวต่อ “แล้วเขาก็ได้พบกับบั๊ค พวกเขากลายเป็นเพื่อนซี้กันในการเดินทางครั้งนี้ พวกเขารู้สึกผูกพันกัน และพวกเขาก็เผชิญหน้ากับอันตรายและการผจญภัยด้วยกัน ผมประทับใจกับการเดินทางนั้นและความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครสองตัวนี้ครับ”

                สตอฟฟ์กล่าว “จอห์น ธอร์นตันเป็นตัวละครที่ภายนอกแข็งกระด้าง แต่มีความเปราะบางอย่างเหลือเชื่อ และในเรื่องราวนี้ คุณจะเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่เจ็บปวดและถูกชีวิตทำร้ายจริงๆ การแสดงของแฮร์ริสันกระทบใจอย่างเหลือเชื่อ”

                “สำหรับผม ความสัมพันธ์ระหว่างบั๊คและธอร์นตันเป็นแกนหลักของเรื่องราวสำหรับผม” กรีนกล่าว “พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตสองชีวิตที่พบตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ที่ของพวกเขา ทั้งคู่มาจากชีวิตที่พวกเขารักและคิดถึงแต่ก็ไม่สามารถมีได้อีกต่อไป บั๊คมีชีวิตที่ดีและกำลังกลายเป็นตัวเขาในเวอร์ชันที่ดีที่สุด แต่ธอร์นตันเป็นคนหัวใจสลาย ตอนที่เขาได้พบกับบั๊ค ที่ทั้งน่ารักและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความรัก ธอร์นตันก็หักห้ามใจตัวเองไม่ได้และการเยียวยาก็เริ่มต้นขึ้นครับ”

                ฟอร์ดกล่าวว่า “เช่นเดียวกับจอห์น ธอร์นตัน ผมเองก็สงสัยใคร่รู้จริงๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน และรู้สึกประทับใจไปกับพลังและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ”

                สำหรับบทเปอร์โรต์ เจ้านายผู้ใจดีและชาญฉลาดของทีมขนส่งที่มีสุนัขลากเลื่อนของบั๊ค ทีมผู้สร้างเลือกโอมาร์ ซาย นักแสดงชาวฝรั่งเศสผู้โด่งดังจากการแสดงในภาพยนตร์ฮิตระดับโลกปี 2011 เรื่อง The Intouchables และหลังจากนั้นก็ได้ฝากฝีมือไว้ใน X Men: Days of Future Past และ Jurassic World

                แดน สตีเวนส์ ผู้ซึ่งบทหนุ่มหล่อกระชากใจสาว แมทธิว ครอว์ลีย์ ในสามซีซันแรกของซีรีส์ที่โด่งดังระดับโลก Downton Abbey ทำให้เขากลายเป็นดาราดัง และหลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงเป็นพระเอกในรีเมกไลฟ์แอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจของดิสนีย์เรื่อง Beauty and the Beast ได้รับบทที่ค้านสายตาอย่าง ฮัล ตัวร้ายของเรื่อง หัวหน้ากลุ่มผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมของนักสำรวจแร่สามคน ผู้ซื้อตัวบั๊คมาและไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตในดินแดนยูคอน ของแคนาดาเลย

                เมอร์ซีเดส น้องสาวผู้เสียคนและเห็นแก่ตัวของฮัล รับบทโดยคาเรน กิลลัน นักแสดงสาวชาวสก็อต ผู้ได้แสดงในสามซีซันของซีรีส์อายุยืนของอังกฤษเรื่อง Dr. Who และได้ร่วมแสดงใน Guardians of the Galaxy และซีเควล The Big Short, Avengers: Infinity War และ Endgame รวมไปถึง Jumanji: Welcome to the Jungle และซีเควลเรื่องล่าสุด The Next Level

                ผู้พิพากษามิลเลอร์ ผู้เลี้ยงดูบั๊คตั้งแต่ตอนเป็นลูกสุนัข ได้มอบชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น แสนสุขให้กับเขา จนกระทั่งเขาถูกพรากมาและส่งตัวไปอยู่ในป่า รับบทโดยนักแสดงเจ้าของสองรางวัลเอ็มมี แบรดลีย์ วิทฟอร์ด นักแสดงจากซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง The Handmaid’s Tale, Transparent และ The West Wing รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศของจอร์แดน พีลเรื่อง Get Out ฌอน หลุยซา เคลลี (Malignant, Top Gun: Maverick) รับบท เคที ภรรรยาของเขา

ลุคของภาพยนตร์

                “เราโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่ได้ผู้กำกับภาพรางวัลอคาเดมี อวอร์ด จานัส คามินสกี้ มาร่วมเดินทางกับเราในการผจญภัยครั้งนี้” สตอฟฟ์กล่าว

                ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ไดอาน่า โพคอร์นีกล่าวว่า “เราทุกคนต่างก็อยากจะร่วมงานกับจานัสจริงๆ ลุคของเขาทั้งคลาสสิกและเหมือนภาพวาดค่ะ”

                “จานัสมีความเป็นนักเล่าเรื่องมากๆ ค่ะ” เธอกล่าวต่อ “เขาทำงานหนักจริงๆ เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการให้กล้องเล่าเรื่อง เขาไม่ใช่คนที่อยากจะสร้างช็อตแฟนซีเพียงเพราะมันเจ๋ง เขาเพียงแต่สนใจว่ามันจะช่วยเล่าเรื่องราวหรืออะไรบางอย่างทางอารมณ์เกี่ยวกับตัวละครตัวนั้นได้รึเปล่าน่ะค่ะ”

                ทีมผู้สร้างไม่ได้สนใจในการสร้างบันทึกทางประวัติศาสตร์

                “เราอยากจะสร้างการเดินทางบนแผ่นฟิล์มและเราก็อยากจะสร้างมันโดยมีบั๊คเป็นจุดศูนย์กลางครับ” ผู้ออกแบบงานสร้างเดอแชนท์กล่าว “การได้จานัสมาร่วมงานกับผู้กำกับที่มาจากสายแอนิเมชั่นหมายถึงการที่เราจะมีผืนผ้าที่ถักทอขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบในการเล่าเรื่องราวของบั๊ค การได้ตัวจานัสมาช่วยยกระดับทุกอย่างขึ้นไปอีก ไปสู่ระดับของเขาน่ะครับ”

                “หกสิบเปอร์เซ็นต์หรือสองในสามของหนังเรื่องนี้เป็นวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่เป็นไปตามแบบฉบับมากกว่า” แนชกล่าว “หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการผสมผสานการถ่ายทำรูปแบบต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน”

                สิ่งจำเป็นคือแสงที่ออกแบบโดยคามินสกี้และส่วนที่เสมือนจริงของภาพยนตร์จะต้องสอดคล้องไปด้วยกัน ในการนั้น แผนกวิชวล เอฟเฟ็กต์ได้คอยจับสังเกตสิ่งที่ทีมผู้กำกับภาพทำอย่างละเอียด

                ในการใช้เมสเมอไรซ์ สุนัขที่มีสีใกล้เคียงกับบั๊ค พวกเขาจะทำการเปรียบเทียบกับสุนัขที่ถูกสร้างขึ้นด้วย CGI ก่อนที่พวกเขาจะถ่ายภาพเมสเมอไรซ์เพื่อตรวจสอบว่าแสงนั้นตรงกันหรือไม่ วิธีนั้นทำให้พวกเขาสามารถจับบั๊คและสุนัขตัวอื่นๆ ในทีมให้อยู่ในสภาพแสงเดียวกันได้และมีความมั่นใจว่าแสงของพวกเขาจะถูกต้อง

                สำหรับฉากเสมือนจริงทั้งหมด การไม่มีการจัดแสงในฉากของจานัสทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีก ดังนั้น ในช่วงเตรียมงานสร้าง จานัสจึงได้พิจารณาบททั้งหมดและเลือกเอาภาพท้องฟ้าอ้างอิงจากสกายโดมสำหรับแต่ละฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จะไม่ถูกแทนที่ด้วยการถ่ายภาพ

                ด้วยการใช้กล้องติดตามทุกช็อตที่จานัสถ่ายทำเอาไว้ พวกเขาจึงสามารถสร้างกล้องดิจิตอล 3D ที่พวกเขาจะสามารถใช้กับฉากเสมือนจริงได้ เพื่อที่มันจะได้มีการเคลื่อนไหวกล้องแบบเดียวกัน การสะเทือนแบบเดียวกัน ปัญหาเชิงเทคนิคแบบเดียวกัน แนวโฟกัสแบบเดียวกัน ฯลฯ เมื่อมีการกำหนดตำแหน่งของแอนิเมชั่นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะไปที่สเตจสำหรับกล้องเสมือนจริงด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์หรือกล้องสเตดิแคม เพื่อถ่ายทำฉากนั้นๆ แบบเสมือนจริงด้วยการใช้เครื่องมือเดียวกับที่จานัสและช่างกล้องของเขาใช้ เป้าหมายก็คือภาษากล้องที่สม่ำเสมอและมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแนบเนียนทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนจริง

                เดอแชนท์กล่าวว่า “มันน่าจะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างฉากจริงๆ และโลกดิจิตอลนะครับ”

การจำลองยูคอนในยุค 1890s

                ในการจำลองภาพเมืองดอว์สัน ซิตี้ บ้านของเหล่าคนงานเหมืองระหว่างช่วงตื่นทองในคลอนไดค์ ทีมงานได้สร้างบล็อกหนึ่งของเมืองขึ้นมา แม้ว่าในภาพยนตร์มันจะครอบคลุมพื้นที่อีกเจ็ดบล็อกในทิศทางหนึ่งและสองบล็อกในอีกทิศทางหนึ่งก็ตาม ดังนั้น ระหว่างกระบวนการออกแบบ พวกเขาจึงได้ “สร้าง” เมืองทั้งเมืองขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะคัดเลือกสิ่งที่จะถูกสร้างขึ้นมาจริงๆ ออกมา

                การมีฉากจริงๆ เป็นสิ่งที่ช่วยเหลือทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์ได้มหาศาล แนชกล่าวว่า “ถ้าเราไม่มีเมืองบล็อกหนึ่งตรงนี้ล่ะก็ เราคงจะเสียเปรียบด้วยการที่ต้องสร้างมันขึ้นมาจากภาพถ่ายในหนังสือ การที่ฉากนี้ถูกสร้างมาในรูปแบบสามมิติ มีสีสัน ครบถ้วนไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เราต้องจัดการกับมาตรฐานที่สูงขึ้นในการต้องขยายมันออกไปและทำให้ส่วนต่อขยายดูแนบเนียน เพื่อที่สิ่งที่ทอดยาวออกไปจากฉากจริงๆ จะมีรายละเอียด มีความสมจริง และมีเท็กซ์เจอร์แบบเดียวกับฉากที่เราสร้างขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาน่ะครับ”

                พื้นที่หนึ่งบล็อกของดอว์สัน ซิตี้รวมถึงฉากอินเตอร์แอ็กทีฟจริงๆ ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงร้านทำผมอาร์โกน็อท ป้อมตำรวจม้า สถานสงเคราะห์สุนัขและที่ทำการไปรษณีย์

                “ประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ของฉากเป็นของจริงครับ” เดอแชนท์อธิบาย “ดิจิตอลจะช่วยขยายฉากจริงๆ ให้กลายเป็นสภาพแวดล้อมของยูคอน ด้วยความที่เราถ่ายทำทุกอย่างในแคลิฟอร์เนีย คุณควรจะคิดถึงมันว่าเป็นหนังเทคนิคคัลเลอร์รุ่นเก่า เว้นแต่ว่าแทนที่เราจะใช้ฉากหลัง เรากลับใช้เทคโนโลยีดิจิตอลแทนน่ะครับ”

                เขากล่าวต่อไปว่า “เราไม่อยากจะสร้างยูคอนอย่างที่มันเป็นจริงๆ ในปี 1898 แต่เราอยากจะสร้างเวอร์ชันในตำนานของเรา สภาพแวดล้อมและภาพลักษณ์ต่างๆ ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของแปซิฟิคที่เป็นของเราเองน่ะครับ”

                เขาและแซนเดอร์สใช้สีสันในการสะท้อนถึงประสบการณ์ของบั๊ค ด้วยการใช้โทนสีอบอุ่นกว่าแทนบ้านเดิมของเขาในซานตา คลารา และสีสันที่จืดจางสำหรับบั๊คตั้งแต่ตอนที่เขาถูกลักพาตัวไป พวกเขาจะนำสีสันกลับเข้ามาในเรื่องในบางจุดบางตอน เช่นตอนที่บั๊คและสปิทซ์สู้กันและตอนที่แอ็กชันขยับสู่เมืองที่ทำเหมือง

                เดอแชนท์กล่าวว่า “ในการมาสู่ดอว์สัน ซิตี้ เราอยากจะแนะนำสีสันแต่เราก็อยากจะยั้งมันเอาไว้ เราก็เลยคุยกันถึงเรื่องภาพถ่ายที่มีการแต้มสี ไอเดียคือเราจะใส่สีสันเข้ามา แต่เราจะไม่ปล่อยให้มันครอบงำทุกอย่าง”

                ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคท ฮอว์ลีย์ตั้งข้อสังเกตว่า “ลักษณะที่คริสเล่าถึงการตัดสินใจของบั๊คในตอนจบเรื่อง ที่มีตัวเลือกที่ชัดเจนมากๆ ระหว่างป่า ที่มีตัวแทนเป็นแสงเหนือในฝั่งหนึ่ง และครอบครัวมิลเลอร์ ที่ถูกแทนด้วยแสงอาทิตย์อัสดงสีส้มในอีกฝั่งหนึ่ง”

                ฮอว์ลีย์ ผู้มาจากนิวซีแลนด์ ได้อธิบายว่าส่วนหนึ่งของการค้นคว้าข้อมูลของเธอคือการล้วงลึกเข้าไปในตำนานพื้นบ้านในยุคนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเรียกว่า “ตำนานอเมริกันแห่งอเมริกา”

                เธอกล่าวว่า “ฉันเริ่มดูโลกของจอห์นนี แอปเปิลซีดและพอล บันยอน รวมไปถึงโลกของพวกกลุ่มปฐมชาติ ซึ่งงดงามอย่างเหลือเชื่อ เราโชคดีมากๆ ที่ยุคสมัยนี้ได้รับการบันทึกเอาไว้อย่างดีในรูปแบบของภาพถ่ายค่ะ”

                ตัวนักออกแบบเองแปลกใจที่ได้เจอภาพถ่ายของนักสำรวจแร่หญิงแบบเดี่ยวๆ หรือเป็นคู่จำนวนมาก ในภาพถ่าย พวกเธอสวมกางเกงขายาว พร้อมด้วยสุนัขสองสามตัว และสัมภาระ รอที่จะปีนป่ายไปตามเส้นทาง

                ฮอว์ลีย์อธิบายว่าสีสันสำหรับเครื่องแต่งกายได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความรักที่แซนเดอร์สมีต่อผลงานของจิตรกรและนักวาดภาพประกอบชาวอเมริกันที่ชื่อเอวินด์ เอิร์ล ผู้โด่งดังที่สุดจากผลงานของเขาในการออกแบบสไตล์และการวาดภาพแบ็คกราวน์ให้กับภาพยนตร์แอนิเมชั่นของดิสนีย์ในยุค 50s เธอได้พูดถึงตารางสีที่แซนเดอร์สได้ทำเอาไว้เพื่อให้เข้าคู่กับจังหวะอารมณ์ในเรื่อง

                ฮอว์ลีย์กล่าวว่า “มีสีชมพูและแดงมากมายปรากฏขึ้นมาและฉันก็เปรียบเปรยมันกับปลาแซลมอนบนพื้นหิมะ สีพวกนั้นปรากฏออกมาอย่างค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติเพื่อสร้างให้เกิดภาพที่ถูกขับเน้นให้ชัดเจนขึ้นอีกนิดค่ะ”

                “ระหว่างนั้น เราพยายามใช้สีโดดๆ ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์มากๆ ค่ะ เมื่อคุณได้เห็นการกระเทาะเปลือกของฮัล เมอร์ซีเดสและชาร์ลส์ออกระหว่างที่พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในป่าในชุดที่ไม่เหมาะสมเอาซะเลยของพวกเขา มันก็ช่วยสร้างบรรยากาศบางอย่างขึ้นมาค่ะ”

การค้นหายูคอนทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย

                สองสามวันแรกของการถ่ายทำถูกใช้ไปในโลเกชันจริงๆ ในวันที่ 6 กันยายน ปี 2018 บริษัทได้ใช้เวลาในค่ำคืนที่ฝนตกและเหน็บหนาวไปกับการถ่ายทำที่ลานของฟิลมอร์ แอนด์ เวสเทิร์น เรลเวย์ ที่ถูกใช้แทนสถานที่ในซานฟรานซิสโก โดยมีบั๊คที่รู้สึกตื่นกลัวถูกจับขังอยู่ในลังไม้ ที่โหลดขึ้นไปบนรถคอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางขึ้นเหนือของเขา

                สองสามวันหลังจากนั้นเป็นการถ่ายทำในซานตา พอลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านที่ถูกใช้เป็นบ้านของผู้พิพากษามิลเลอร์ ที่นี่เองที่เราได้พบบั๊ค ลูกสุนัขตัวน้อยที่เป็นลูกครึ่งเชพเพิร์ดและเซนต์เบอร์นาร์ดเป็นครั้งแรก และจากบ้านที่แสนอบอุ่นนี้เองที่เขาถูกลักพาตัวไปเพื่อปลดหนี้และเริ่มต้นการเดินทางที่ยาวนานและทรหดสู่ยูคอน

                แชนด์เลอร์ สเตจในแวน นุยส์เป็นสถานที่รองรับฉากภายในของเรือสำเภานาร์วาห์ล ที่จะนำบั๊คไปยังชายหาดดายอี ที่นี่เองที่เขาได้เรียนรู้ว่าชีวิตไม่ได้มีแต่วันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งเสมอไป และการที่มีความแตกต่างระหว่างอ้อมแขนแห่งความรักและกฎหมู่และคมเขี้ยว

                ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนไปจนถึงวันปิดกล้อง ทีมงานตั้งกองกันอยู่ที่ไร่เซเบิลในแคนยอน เคาน์ตี้

                เดอแชนท์กล่าวว่า ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการสร้างฤดูหนาวในช่วงกลางฤดูร้อนทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย และจะต้องจับคู่น้ำแข็งที่ละลายบนพื้นผิวที่แตกต่างกันไปเพื่อใช้แทนหิมะกลางฤดูหนาว รวมถึงฉากต่างๆ ในฤดูใบไม้ผลิ ในตอนที่มันจะมีส่วนผสมระหว่างโคลนและหิมะ

                เขาอธิบายว่า “ลุคฤดูหนาวเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างของจริงและของที่สร้างขึ้น เราใช้ทุกอย่างตั้งแต่กระดาษ ดีเกลือฝรั่ง น้ำแข็งไสและเรซินเพื่อแสดงภาพหิมะ เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ในการสร้างสภาพแวดล้อมเหล่านั้นเพื่อที่จานัสและนักแสดงจะได้มีอะไรจริงๆ ให้ได้โต้ตอบด้วย

                “โชคดีที่เรามีทีมสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ที่เหลือเชื่อ ผู้ที่พอถึงตอนปิดกล้องได้ใช้น้ำแข็งกว่า 1,000 ตัน ซึ่งถูกผลักเข้าไปในสิ่งที่ดูเหมือนเครื่องย่อยไม้ขนาดใหญ่ และเราก็จะใช้สายฉีดน้ำพ่นเอาหิมะออกมา

                “ทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์จะต้องชวนเชื่อให้ได้มากกว่านั้น เราใช้ทุกอย่างเท่าที่เรามีในเวลาเดียวกันครับ”

Facebook Comments
ติดต่อ Maganetthailand.com
Don`t copy text!