SONGBIRD โควิด 23 ไวรัสล้างโลก “ทางรอด คือ รอดไปด้วยกัน” 21 มกราคม 2563

ประเภท:                    ไซ-ไฟ / ระทึกขวัญ

ความยาว:                90 นาที

ผู้อำนวยการสร้าง:     ไมเคิล เบย์

ผู้กำกับ:                   อดัม เมสัน

เขียนบท:                  อดัม เมสัน, ไซมอน โบเยส

นักแสดง:                เคเจ อาปา, โซเฟีย คาร์สัน, อเล็กซานดร้า แดดดาริโอ, เดมี มัวร์, ปีเตอร์ สโตร์แมร์

Synopsis:  ผลงานการสร้างจาก ไมเคิล เบย์ ผู้สร้าง Transformers, A Quiet Place และ The Purge สู่ฝันร้ายครั้งใหม่ที่มาในรูปแบบมฤตยูไวรัสล้างโลก

                   ในโลกอนาคตปี 2024 เมื่อไวรัสโควิด 23 ระบาดร้ายแรงเริ่มกลายพันธุ์ และคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 110 ล้านรายทั่วโลก! เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อทั้งโลกจึงต้องอยู่ในภาวะล็อคดาวน์ มีการประกาศเคอร์ฟิว และพลเมืองที่ไม่ได้รับอนุญาตต้องอยู่แต่ในอาคาร ใครฝ่าฝืนจะถูกรัฐบาลใช้มาตราการรุนแรงปราบปราม  

                   แต่แล้วหายนะก็บังเกิดกับ นิโก (เคเจ อาปา) ชายหนุ่มผู้มีภูมิคุ้มกัน เมื่อ ซาร่า (โซเฟีย คาร์สัน) แฟนสาวของเขาที่ไม่เคยมีโอกาสเจอกันอีกเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุไวรัสระบาด กำลังจะถูกเจ้าหน้าที่บุกมาถึงที่พักภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกต้องสงสัยว่าติดเชื้อ นิโกจึงต้องรีบเดินทางฝ่ามฤตยูไวรัสล้างโลกนี้ พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยซาร่าให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

เกร็ดน่ารู้

– ผลงานแนวไซ-ไฟ ระทึกขวัญเรื่องล่าสุดจาก ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับอภิมหาหนังแอ๊กชั่นแฟรนไชส์ Transformers และผู้สร้างผลงานสุดระทึกอย่าง A Quiet Place และ The Purge

– และด้วยชื่อชั้นของผู้อำนวยการสร้าง ไมเคิล เบย์ หนังจึงการันตีงานสเปเชียลเอฟเฟกต์ชั้นเยี่ยม จากทีมสเปเชียลเอฟเฟกต์ของหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง แฟรนไชส์ Transformers, Godzilla: King of the Monsters, The Fast and the Furious 8

– เสริมทัพงานวิชวลอฟเฟกต์ระดับฮอลลีวูด จากทีมผู้สร้าง Wonder Woman, Jumanji: Welcome to the Jungle, Star Trek Beyond, Mulan และ Star Wars: Episode VII – The Force Awakens

– หนังยังได้มือโปรดักชั่นดีไซน์อย่าง เจนนิเฟอร์ สเปนซ์ จาก Shazam มาเนรมิตโลกอนาคตในปี 2024 ที่โควิด 23 ระบาดจนทำให้สภาพบ้านเมืองเปลี่ยนไปราวกับดินแดนรกร้าง

– Songbird เขียนบทและเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำกันในช่วงที่โควิค-19 กำลังระบาดรุนแรง เพราะต้องการภาพและบรรยากาศที่สมจริงมาใช้ในหนัง ซึ่งเล่าเรื่องของโลกที่ถูกโรคระบาดเล่นงานจนต้องประกาศล็อกดาวน์ และทุกคนอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว พร้อมความตึงเครียด โดยบรรยากาศเหล่านั้นก็ถูกนำมาสะท้อนและถ่ายทอดในหนังได้อย่างทรงพลัง

SONGBIRD โควิด 23 ไวรัสล้างโลก

PRODUCTION NOTES

สำหรับภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญเรื่องSONGBIRDนั้นเล่าถึงเชื้อไวรัสCOVID-23ที่ได้กลายพันธุ์และทำให้โลกตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ล็อคดาวน์เป็นปีที่สี่แล้ว ชาวอเมริกันที่ติดเชื้อได้ถูกพรากจากบ้านของพวกเขาและถูกส่งไปยังค่ายกักกันปิดตายที่รู้จักกันในชื่อคิว-โซน ในขณะที่ผู้กล้าบางคนพยายามลุกขึ้นต่อสู้การกดขี่ภายใน ท่ามกลางโลกที่พังพินาศ นิโค (รับบทโดย เคเจ อาปา) คนส่งข่าวใจเด็ดเดี่ยวผู้มีภูมิต้านทานไวรัสร้ายแรงนี้ได้พบรักกับ ซาร่า (นำแสดงโดย โซเฟีย คาร์สัน) ทว่าการล็อคดาวน์ก็ทำให้ทั้งสองไม่อาจสัมผัสทางกายกันได้ และเมื่อมีข่าวว่า ซาร่า ได้ติดเชื้อ นิโคจึงกระเสือกกระสนข้ามฟากลอสแองเจลิสเพื่อตามหาสิ่งเดียวที่จะช่วยไม่ให้เธอต้องถูกคุมขัง

SONGBIRD ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำในระหว่างวิกฤตการณ์เชื้อไวรัสCOVID-19 แพร่ระบาดในลอสแองเจลิสและยังพูดถึงตัวโรคระบาดเองอีกด้วย นอกจากดารานำที่กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีนักแสดงอย่าง แบรดลีย์วิตฟอร์ดและ เดมี มัวร์ซึ่งมารับบทเป็นคู่สามีภรรยาที่อาจเป็นกุญแจสำคัญต่อภารกิจของ นิโคเอง อเล็กซานดร้า ดาแดริโอรับบทนักร้องผู้กำลังพัวพันกับเรื่องชู้สาวต้องห้าม พอลวอลเตอร์ฮาวเซอร์รับบทเป็นอดีตทหารผ่านศึกผู้อาศัยหุ่นโดรนชื่อ แม็กซ์เป็นหูและตาแทนร่างกายอันพิกลพิการของเขา เคร็ก โรบินสันรับบทเจ้านายของ นิโคและ ปีเตอร์สตอร์แมร์รับบทหัวหน้าสุดเลวประจำแผนก “กำจัดเชื้อ” ที่คอยกวาดต้อนผู้ติดเชื้อและส่งไปยังคิว-โซน

SONGBIRD คือภาพยนตร์สยองขวัญที่มองลึกไปยังอนาคตของพวกเรา ภาพยนตร์นำเสนอการแยกตัวที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ด้วยภาพของกองกำลังทหาร ความกลัวและการสูญเสีย แต่ยังไม่ลืมแง่มุมของความรัก ความหาญกล้าและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ใจความสำคัญของหนังอยู่ที่ความรอดและความหวังของมนุษย์

เรื่องราวเล่าถึงลอสแองเจลิสในอนาคตอีก 4 ปีให้หลัง เชื้อไวรัสCOVID ได้กลายพันธุ์และกลายมาเป็นสายพันธุ์ร้ายแรงที่ชื่อว่า COVID-23 การล็อคดาวน์กลายเป็นเรื่องจำเป็น การจัดเคอร์ฟิว การขาดแคลนอาหาร และของขาดตลาดกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต “มันคือสิ่งที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นหากการล็อคดาวน์ที่เราประสบมายังคงยืดเวลาต่อออกไปอีกสองถึงสามปี”อดัม เมสัน ผู้กำกับ/ผู้ร่วมเขียนบทกล่าว แต่สำหรับหัวใจของตัวภาพยนตร์นั้นเขาบอกว่า SONGBIRD คือเรื่องรักเกี่ยวกับคนทั้งสองที่ไม่อาจอยู่ร่วมกัน เป็นคู่รักอับโชคที่ต้องหาวิธีอยู่ด้วยกันในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้”

“มันมีความตื่นเต้นสมกับเป็นหนังดูแกล้มป๊อบคอร์น แต่ก็มีหัวใจของความเป็นภาพยนตร์และปล่อยให้หนังเชื่อมโยงกับคนดูได้อย่างมากมาย”อดัมกู๊ดแมน ผู้อำนวยการสร้างกล่าวเสริม

เดิมทีแล้ว เมสันกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมสร้างภาพยนตร์เรื่องอื่น แต่ไม่นานมันก็เป็นที่แน่ชัดว่าประเทศหรืออาจรวมถึงทั้งโลกได้ปิดตัวลงทั้งหมดเนื่องจากเชื้อไวรัสCOVID-19 ที่แพร่ระบาดจนควบคุมไม่ได้ โอกาสได้มาถึงในเช้าวันต่อมา เมื่อ ไซมอน โบเยส เพื่อนร่วมเขียนบทของ เมสันได้โทรศัพท์หาเขาเพื่อเสนอไอเดีย“การสร้างภาพยนตร์กับเพื่อนฝูงบนโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์พกพา”“เราก็เลยลองร่างบทความยาว 10 หน้าในวันนั้น รวมไปถึง “แนวคิด” ว่าเราจะเดินเรื่องในสถานการณ์ล็อคดาวน์และสร้างบางอย่างที่ชวนตื่นเต้นได้อย่างไรบ้าง”

เมสันได้ส่งแนวคิดดังกล่าวไปยัง กู๊ดแมนผู้ต้องการสร้างหนังออกมาในสเกลใหญ่กว่าที่ เมสันและ โบเยสคะเนไว้ “และพอผมรู้ตัว”เมสันเล่า ไมเคิลเบย์ก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย”

นอกจากจะเป็นผู้กำกับหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์มหึมาอย่าง Armageddon (1998), Pearl Harbor (2001) และแฟรนไชส์Transformers(2007-2017) ไมเคิลเบย์ยังได้ร่วมอำนวยการสร้างและทำหนังที่ฟอร์มเล็กลงมาอย่าง A Quiet Place (2018) ,The Purge (2013) และ Ouija(2014) อีกด้วย ตลอดอาชีพที่รุ่งเรืองของเขา เบย์มักจ้างและสนับสนุนผู้กำกับรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มเดินในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เมื่อผู้อำนวยการสร้างอย่าง กู๊ดแมนขอร้องให้เขามาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เบย์ จึงไม่รอช้าที่จะสนับสนุน เมสันรวมไปถึงงานสร้างในทุกหนทางที่เขาทำได้ และยังช่วยถ่ายทำกองถ่ายที่สองในบางส่วนให้อีกด้วย

กู๊ดแมนกล่าวว่า ไมเคิลนำความโกลาหลและความตื่นเต้นมาสู่จอได้มากกว่าใคร และยังเคยกำกับหนึ่งในหนังวินาศแนวสันตะโรที่เยี่ยมยอดที่สุดด้วย แต่เราไม่ได้พยายามทำให้ผู้ชมหวาดกลัว เราสร้างภาพยนตร์ที่จะให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยตัวเอก ชิงชังตัวร้าย และตระหนักรู้ว่าเราทุกคนล้วนตกอยู่ในสภาวะเดียวกันทั้งสิ้น”

ไซมอนกับผมผสานทั้งสองด้านนั้นเข้ากันโดยสร้างเรื่องราวทำนองธรรมะย่อมชนะอธรรม ซึ่งถือเป็นหัวใจที่ดีของตัวภาพยนตร์ มันไม่ใช่เรื่องราวมืดหม่นหรือซีดเซียว SONGBIRD นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญความยากลำบาก มันมีขอบเขต ความโรแมนติกลุ่มลึก และช่วงเวลาอันสำคัญและแสนอันตรายตามแบบฉบับของฮอลลีวูด”

กู๊ดแมนยังกล่าวเพิ่มอีกว่า “บางครั้งภาพยนตร์ก็พาเราหนีออกห่างโลกความจริง หรือไม่ก็ถือแว่นขยายเพื่อส่องมองโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่ ในภาพยนตร์ SONGBIRD เราทำทั้งสองด้าน”

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์รอบตัวของ เมสันและ โบเยสเองก็สะท้อนถึงสิ่งที่พวกเขากำลังสร้าง “การเขียนบทและถ่ายทำค่อนข้างจะหนักหนา เพราะผมรู้สึกว่ากำลังเขียนเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบตัว ณ ขณะนั้น” เมสันอธิบายเพิ่ม“ตัวอย่างเช่น ผมอาจกำลังเขียนฉากเกี่ยวกับเคอร์ฟิวที่มีเฮลิคอปเตอร์บินไปมา อดัมจะบอกผมว่า “ไม่นะ มันดูเป็นหนังไซ-ไฟแนวโลกพินาศเกินไปหน่อย” แต่ในบ่ายวันเดียวกัน มันก็มีเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินอยู่เหนือเขตบ้านผมและประกาศว่ากำลังจะมีเคอร์ฟิว!”

SONGBIRD โควิด 23 ไวรัสล้างโลก

ความรัก (พร้อมกับสิ่งอื่น) ที่ลอยฟุ้งในอากาศ

แก่นเรื่องของ SONGBIRD นั้นคือเรื่องรักของคนสองคนที่ต้องแยกตัวจากกันเป็นเวลานาน และมีความปรารถนาอันร้อนแรงที่จะอยู่ด้วยกันแต่ไม่สามารถสัมผัสกันได้

“ท่ามกลางความโกลาหลอลหม่าน ความเศร้าโศกเสียใจ และความยากลำบากจากสถานการณ์ไวรัสแพร่ระบาดและล็อคดาวน์ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ นั่นคือความรัก และสิ่งใดก็ตามที่คุณยินดีทำเพื่อความรักและเพื่อความหวังนั้น”เจนเน็ตต์วอลตูร์ผู้อำนวยการสร้างเผย “เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่าโลกของเรากำลังฝ่าวิกฤติอะไรบ้างในขณะนี้ และมาในรูปแบบที่สอนใจว่าเรามีความหวังอยู่เสมอ และด้วยความรัก ไม่มีใครที่พ่ายแพ้เลย”

มาร์เซ เอ. บราวน์ผู้อำนวยการสร้างเพิ่มเติมว่า “ความรักและความใกล้ชิดก็เหมือนอาหารและน้ำ ปัจจัยสี่ที่ทุกคนต่างต้องการเพื่อความอยู่รอด ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพูดถึงความหวังและความสามารถของมนุษยชาติที่จะหาหนทางให้จนได้”

นิโคซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องเป็นเพียงไม่กี่คนที่มีภูมิต้านทานไวรัส แต่สิ่งนั้นก็เหมือนดาบสองคมสำหรับเขา “ใครก็ตามที่มีภูมิต้านทางก็อาจเป็นพาหะชั้นเยี่ยมของไวรัสCOVID23เคเจ อาปา พูดถึงบทบาทของเขา นิโคจึงจำต้องทำนิสัยเสียต่อทุกคนรอบตัวเขา”

SONGBIRD ยกระดับของเรื่องรักอมตะประเภท โรมิโอและ จูเลียตครั้งนี้ไม่มีครอบครัวที่กินแหนงแคลงใจกัน แต่เหล่าตัวเอกอับโชคต้องต่อสู้กับสถานการณ์โรคระบาดท่ามกลางเหตุการณ์การกวาดต้อนผู้ติดเชื้อ นิโคและ ซาร่าคือคู่รักที่ไม่อาจอยู่ด้วยกัน และยังไม่สามารถผูกสัมพันธ์กันได้ในทุกวิถีทาง”กู๊ดแมนอธิบาย “คนหนึ่งมีภูมิต้านทาน อีกคนกลับไม่มี ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาผู้ชมให้เอาใจช่วยให้คู่รักนี้จะสามารถพบกันได้อีกครั้ง ความท้าทายท่ามกลางเหตุการณ์ที่บ้าคลั่งและสับสนนี้ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูเหมือนจะลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก”

นิโคคือหนึ่งในกลุ่มคนที่เรียกกันว่า “กลุ่มมีภูมิ” ซึ่งปลอดภัยจากการติดเชื้อและจำต้องรับหน้าที่ที่ยังขับเคลื่อนสังคมต่อไปได้ “งานของ นิโคคือคนส่งของ”เคเจ อาปา ผู้แสดงนำในซีรีส์ยอดฮิตอย่าง Riverdale กล่าว “เขาส่งของให้ผู้คนทั่วเมือง ในระหว่างการเดินทางของเขา เขาได้พบกับ ซาร่าและพวกเขาก็ตกหลุมรักกัน ผมหวังว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะให้ความหวังกับผู้คนในอนาคต อย่าเข้าใจผมผิดนะ หนังเรื่องนี้นำเสนอความน่ากลัวของไวรัสที่กลายพันธุ์ก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็พูดถึงความเอาใจใส่”

โซเฟีย คาร์สันรู้สึกประทับใจกับความลุ่มลึกและสุ่มเสี่ยงของความรักระหว่าง ซาร่าและ นิโค“การรักใครสักคนอย่างลึกซึ้งแม้จะไม่เคยได้หายใจร่วมกัน ไม่เคยสัมผัสกายและได้ยินเสียงของเขาก้องอยู่ในหู มันเหมือนกับความรักที่เป็นไปไม่ได้”เธอกล่าว “สำหรับตัวเอกของเรา ความรักของพวกเขายังมีความเสี่ยงร้ายแรง เพราะมันอาจทำให้เธอต้องตายหากได้พบกัน แต่ถึงกระนั้น ความรักก็ยังเป็นทางรอดของพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขายึดมั่นและต่อชีวิตของพวกเขา ความรักของ ซาร่าและ นิโคคือหัวใจของเรื่อง คติสอนใจที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดนั่นคือ ความรักเป็นสิ่งเดียวที่เรามีในโลกใบนี้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้และความรักจะต่อชีวิตเรา”

เมสันและ คาร์สันกล่าวว่าความรักระหว่าง นิโคและ ซาร่านั้นได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนในฉากที่ นิโคไปเยี่ยม ซาร่าที่อพาร์ตเมนต์ของเธอโดยต้องอยู่ภายนอกประตู พวกเขาต่างยืนยันความรู้สึกที่มีต่อกัน รวมถึงความอึดอัดคับข้องใจที่ไม่อาจสัมผัสกายกันและกัน

“ผมคิดมาเสมอว่ามันคือภาพที่ทรงพลังของเรื่องนี้”เมสันกล่าว “เราตั้งกล้องถ่ายทั้งสองด้าน ใช้เลนส์เดียวกันทั้งสองฟากของประตู มี เคเจ อาปาและ โซเฟีย คาร์สันอยู่กันคนละฟาก แต่เมื่อผมเห็นพวกเขาบนจอมอนิเตอร์ ผมรู้ทันทีว่าผมต้องการให้ฉากนั้นดำเนินไปโดยใช้จอแบ่งภาพระหว่างพวกเขาทั้งสอง และมีบทพูดหนึ่งที่เราเขียนขึ้นมา ณ ตรงนั้น ซึ่งเป็นตอนที่ โซเฟียพูดว่า “ฉันเหมือนสัมผัสถึงคุณได้ผ่านประตูนี้”

คาร์สันยืนยันว่า “ในฉากดังกล่าว ซาร่าและ นิโคถูกแยกจากกันด้วยประตูบานหนาเพียงสามนิ้ว แต่มันเหมือนกับมีมหาสมุทรกว้างใหญ่ระหว่างพวกเขา ทุกช่วงขณะและอารมณ์เหล่านั้นเป็นจริงสำหรับ เคเจและฉันเพราะเรามองไม่เห็นตัวของกันและกัน เราถูกแยกด้วยประตูบานนั้นเสมอ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งการขยับศีรษะและมือของเราเริ่มคล้ายคลึงกันโดยไม่มีใครรู้ตัว คืนวันนั้น อดัมส่งข้อความมาหาพวกเราแล้วบอกว่า เขารู้ทันทีที่เห็นฉากนั้นว่าเขาได้ถ่ายทำสิ่งที่วิเศษเอามากๆ”

            สำหรับการสร้างตัวละคร นิโคนั้น เมสันและ โบเยสได้รับแรงบันดาลใจจากผู้ทำงานในกลุ่มเสี่ยง ตั้งแต่การทำงานด่านหน้าในโรงพยาบาลและศูนย์ฉุกเฉิน ไปจนถึงกลุ่มที่เรามักมองข้ามอย่างเจ้าหน้าที่ร้าน ช่างซ่อมบำรุง ผู้รับจ้างและแม้แต่คนส่งของ ในขณะที่พวกเราหลายคนกำลังกบดานอยู่ในบ้าน คนเหล่านั้นยังต้องเสี่ยงทำงานเพื่อให้สินค้าและการให้บริการยังคงอยู่ “ผมมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นคนขับรถที่จอดส่งของให้กับบ้านเกือบทุกหลังบนท้องถนน” เมสันเล่าถึงประสบการณ์ของเขา “พวกเขาคือฮีโร่ ผมคิดว่า นิโคควรเป็นตัวแทนของคนเหล่านั้น”

ชื่อของ เคเจ อาปาอยู่ในลิสต์มาตั้งแต่ระยะแรกของการแคสติ้ง แต่เมื่อ เมสันลองดูประวัติการแสดงของเขาในบท อาร์ชี่ แอนดรูวส์หนุ่มไฮสคูลแสนเรียบร้อยจากซีรีส์Riverdale ก็คิดว่าเขาคงไม่เหมาะกับตัวละครที่ค่อนข้างสกปรกและไม่เป็นมิตรอย่าง นิโคได้ แต่การติดต่อกันผ่าน Zoom ได้เปลี่ยนความคิดของ Mason อย่างรวดเร็ว “แค่วินาทีแรกที่ผมเห็นเคเจผมรู้ทันทีว่าเขาคือ นิโค

เมื่อ คาร์สันได้รับเชิญมาเพื่ออ่านบทเทียบเคมีระหว่างนักแสดง ซึ่งแน่นอนว่าทำตามมาตรการเว้นระยะห่าง เมสันรู้ทันทีว่าเขาพบคู่รักอับโชคที่เขาต้องการแล้ว “ทันทีที่ผมเห็นเคมีระหว่างพวกเขาทั้งสอง ผมรู้เลยว่าไม่มีทางที่ผมจะทำหนังเรื่องนี้พังพินาศได้”เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะ

“ระหว่างที่เราอ่านบท มันชัดเจนมากสำหรับผมว่าหนังเรื่องนี้ไปได้สวยแน่”อาปายืนยัน โดยมี คาร์สันสมทบว่า “เราติดต่อกันผ่าน Facetime และยังมีบุคคลที่สามอยู่ในสายด้วย ใช่แล้ว เคมีที่ว่านั้นจะชัดเจนหรือไม่มีไปเลย แต่สำหรับเรื่องนี้ มันมีอย่างชัดเจน”

การล็อคดาวน์กับคนรวยและจน

ในปี 2024 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสCOVID-23 กลุ่มคนรวยยังคงมีชีวิตสุขสบายและเลิศหรู ในขณะที่คนทั้งโลกต้องทนทุกข์ กลุ่ม “คนมีอันจะกิน” ในภาพยนตร์ SONGBIRD คือตระกูล กริฟฟินซึ่งประกอบด้วยคู่สามีภรรยาอย่าง วิลเลียม (รับบทโดย แบรดลีย์วิตฟอร์ด) และ ไพเพอร์ (รับบทโดย เดมี มัวร์) ความร่ำรวยช่วยไม่ให้พวกเขาต้องประสบกับภัยอันตรายจากการแพร่ระบาดของไวรัส แต่ไม่อาจคุ้มกันพวกเขาจากชีวิตแต่งงานที่พังทลาย การหักหลังและทุจริตได้

“วิลเลียมคือผู้บริหารงานดนตรี เป็นคนในวงการบันเทิงที่ไร้ศีลธรรม”วิตฟอร์ดกล่าวถึงบทบาทของเขา และยังเพิ่มเติมว่าบทสนทนาของเขากับภรรยาในชีวิตจริงในตอนแรกเริ่มของการล็อคดาวน์ทำให้เขาเห็นเค้าลางของเหตุการณ์ชีวิตคู่ของเขากับ มัวร์ในภาพยนตร์ “เราพูดคุยกันว่ามันแย่แค่ไหนหากต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตายซาก และต้องติดอยู่ด้วยกันในวันที่โลกปิดตัวลงปุบปับ”เขาเล่า “มันคงเป็นเรื่องแสนทรมานสำหรับทุกคน และนั่นคือสิ่งที่  วิลเลียมและ ไพเพอร์กำลังประสบ”

วิลเลียมกำลังมีความสัมพันธ์ชู้สาวอย่างลับ ๆ กับ เมย์ผู้ฝันอยากเป็นนักร้องที่รับบทโดย อเล็กซานดร้า ดาแดริโอ เมื่ออาชีพของเธอต้องหยุดชะงักลงจากเหตุการณ์ไวรัสแพร่ระบาด เมย์จำต้องร้องเพลงทางออนไลน์ให้กลุ่มแฟนของเธอฟังจากห้องซอมซ่อในโรงแรมม่านรูด ดาแดริโอกล่าวว่าเธอถูกโปรเจกต์นี้ดึงดูดเข้าเพราะ “มันสนุกและเชื่อมโยงถึงชีวิตจริงได้ และมันก็สนุกที่ได้เปลี่ยนพลังงานจากการกักตัวของฉันลงบนงานสร้างสรรค์ การต้องเข้าฉากร่วมกับคนอย่าง แบรดลีย์ซึ่งฉันไม่อาจทำได้ในปีนี้เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก”

หนึ่งในแฟนตัวยงของ เมย์คือ โดเซอร์ทหารผ่านศึกร่างกายพิการที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของเขา บทนี้ได้นักแสดงอย่าง พอลวอลเตอร์ฮาวเซอร์ผู้ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกล้นหลามจากบทนำในเรื่อง Richard Jewell (2019) ที่กำกับโดย คลินท์อีสต์วู้ด“โดเซอร์ไม่รู้จักชีวิตนอกชุดกากีมากนัก แต่เขาคุ้นชินกับความเงียบเหงา” ฮาวเซอร์กล่าว “ผมอยากจะบอกเล่าถึงความเหงานั้นและสำรวจชีวิตในแต่ละวันของตัวละครนี้ เขามีความสงสัยในตัวเองมากมายและรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ากับคนอื่น”ดังนั้น โดเซอร์จึงใช้หุ่นโดรนชื่อว่า แม็กซ์ซึ่งเป็น “เพื่อน” คนเดียวของเขาช่วยในการส่งของและคอยเฝ้ามองคนส่งของที่ต้องเสี่ยงชีวิตบนท้องถนน จนกระทั่งเขาได้พบปะกับ เมย์อย่างไม่คาดฝัน

เลสเตอร์เจ้านายของทั้ง โดเซอร์และ นิโคคือเจ้าขององค์กรที่จัดส่งทั้งสิ่งของประทังชีวิตและของหรูราคาแพงสำหรับคนที่สามารถจับจ่ายได้ เลสเตอร์มีลูกค้าที่กระเป๋าหนักและมีเรื่องลับลมคมในแฝงอยู่ด้วย”เคร็ก โรบินสันเจ้าของบทยอมรับ

“สิ่งที่ทำให้ตัวละคร เลสเตอร์น่าสนใจสำหรับผมนั้นเป็นเพราะเมื่อผมเริ่มแสดง ผมเริ่มกลายเป็นเหมือนเขามากขึ้น เลสเตอร์ เองกลัวเชื้อไวรัส เขาจึงทำทุกวิถีทางอย่างสุดโต่งเพื่อไม่ให้ตัวเองติดเชื้อ ทำแม้กระทั่งสวมชุดป้องกันเชื้อเมื่อต้องออกจากโกดังสินค้าและใช้ปืนพ่นไฟเพื่อ “กำจัด” ของที่ทิ้งแล้ว สองสามเดือนก่อนผมจะรับบท ผมคิดว่าตัวเองติดเชื้อ COVID เข้าแล้ว แต่เมื่อผมเข้ารับการตรวจก่อนงานสร้างของภาพยนตร์ SONGBIRD เราพบว่าผมไม่มีภูมิต้านทานภายหลังการติดเชื้อ นั่นแปลว่าความจริงแล้วผมไม่เคยติดเชื้อ COVID เลย เมื่อไม่มีภูมิต้านทานแล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องระวังตัวให้มากเหมือนกับ เลสเตอร์

ในขณะที่ เลสเตอร์และผู้คนเกือบทั้งโลกตื่นกลัวกับโรคระบาดนี้ ผู้มีภูมิต้านทานบางคนก็มีความสุขกับอภิสิทธิ์พิเศษและการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ แต่บางคนก็ยังต้องการยกระดับขึ้นไปอีกเพื่อรวบรวมอำนาจที่ไร้ขอบเขต เช่นเดียวกับวิศวกรด้านการควบคุมเชื้อของเมืองนี้ ปีเตอร์สตอร์แมร์ยินดีก้าวเข้ามารับบทตัวละครที่ร้ายกาจและสร้างสรรค์ รวมถึงโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ ไมเคิลเบย์ผู้สร้างภาพยนตร์มือฉมัง “ผมยินดีและตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ ไมเคิลเบย์อีกครั้ง”เขากล่าวถึงผู้กำกับที่เขาได้ร่วมงานด้วยหลายครั้ง “และโอกาสที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่แสนท้าทายเรื่องนี้”

SONGBIRD โควิด 23 ไวรัสล้างโลก

เมื่อโอกาสมาถึง : ภาพลักษณ์และงานสร้างของ SONGBIRD

ลอสแองเจลิสในปี 2024 ที่มีโรคระบาดรุมเร้าจะเป็นอย่างไร สำหรับผู้กำกับภาพอย่าง ฌักจุฟเฟรตเขากล่าวว่า มันค่อนข้างว่างเปล่า สกปรกโสมม และธรรมชาติเริ่มเข้ามายึดพื้นที่อย่างช้าๆ คุณจะได้เห็นความเปราะบางของเมืองนี้ มันผุพังลงไปทีละน้อยเนื่องจากโรคระบาดและไม่อาจยืนหยัดด้วยตัวมันเอง

เราไม่อยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูซ้ำซากกับเรื่องอื่นกู๊ดแมนยืนยัน มันมีความรู้สึกที่ต่างออกไปและถูกสร้างให้ไม่เหมือนกับหนังเรื่องไหนมาก่อน มันค่อนข้างดิบและประณีตในเวลาเดียวกัน มันมีสเกลงานสร้างที่คุณไม่สามารถลอกเลียนแบบได้เพราะเราจับภาพในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่หน้าประตูบ้านของเรา

เพื่อนำภาพที่ เมสันจินตนาการไว้สู่จอ จุฟเฟรตและทีมของเขาใช้วิธีการที่ผู้กำกับภาพมักเรียกว่า “Opportunistic Filmmaking” ซึ่งเป็นการถ่ายทำโดยใช้กล้องที่ไม่ใช่กล้องสำหรับภาพยนตร์อย่าง iPhone GoPro และกล้องวงจรปิด มาใช้เป็นฟุตเทจภาพหลัก ซึ่งสะท้อนถึงวิธีการที่เราหลายคนรับชมความเป็นไปของโลกในปัจจุบัน เมสันและ จุฟเฟรตมองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะได้รับการปรับปรุงคุณภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้ จากทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเองและความจำเป็นของมนุษย์ เพื่อให้เรายังติดต่อกันในขณะที่เราไม่อาจพบปะกันได้ การล็อคดาวน์ที่ยาวนานจะบีบให้สังคมต้องใช้กล้องเหล่านั้น และเราอยากจะเล่าถึงประเด็นนี้โดยดึงภาพบันทึกจากหลายสื่อเข้ามาในสิ่งที่กล้องถ่ายทำภาพยนตร์ของเรากำลังบันทึกจุฟเฟรตอธิบาย ภาพของภาพยนตร์จะสอดคล้องกับเรื่องราวของตัวละครในแบบที่ผู้ชมเข้าถึงได้ เนื่องจากเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน แม้อาจจะไม่หนักหนาเท่า เรากำลังทำให้เทรนด์นี้มาเร็วขึ้น

เจสัน คล๊าร์คผู้อำนวยการสร้างกล่าวว่า Opportunistic Footage ทำให้เราได้เข้าไปถึงในโลกของตัวละครของเรา เราตั้งกฎระเบียบในการถ่ายทำเพื่อช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงตั้งกฎระเบียบใหม่เพื่อความปลอดภัยในการถ่ายทำท่ามกลางช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนและใช้เทคนิคใหม่ๆ มากมาย

นอกจากการถ่ายทำแบบ Opportunistic แล้ว เมสันยังได้ถ่ายทำด้วยวิธีที่นักทำภาพยนตร์เรียกกันว่า “Noninterference (ไร้การปรุงแต่ง)” เราแทบไม่ใช้การแต่งผมและหน้า ไม่มีการคัท แต่งฉากใหม่ หรือเติมแสงเข้าไปเลยคาร์สันอธิบาย อดัมอยากให้เราเคลื่อนไหวไปทางใดก็ตามที่เราคิดว่าตัวละครของเราต้องการไปในช่วงเวลานั้นทุกอย่างดูดิบ สมจริง น่ากลัวและสนุกมาก

มันเหมือนกับคุณลืมไปเลยว่าเรากำลังถ่ายทำภาพยนตร์กันอยู่เธอกล่าวต่อ คุณจะไม่เห็นกล้อง อุปกรณ์จัดแสง เราต่างจมและหลงเข้าไปในโลกของ SONGBIRD เพื่อที่ทุกช่วงอารมณ์จะสมจริงและจับต้องได้ มันมีความงดงามและเสรีภาพในแบบที่ฉันไม่คิดว่าพวกเราเคยประสบมาก่อนในอาชีพนักแสดง เมื่อการถ่ายทำจบลง เคเจกับฉันต่างเหน็ดเหนื่อยกัน (ในทางที่ดีนะ) เพราะว่าเราต่างใช้ชีวิตคล้ายกับตัวละครของพวกเรา

ทั้งเสรีภาพและอารมณ์ร่วมเหล่านั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความท้าทายที่เหมือนจะน่ากลัวและฝ่าฟันแทบไม่ได้ เมสันเล่าว่า การถ่ายทำแบบ ดั้งเดิมอาจจะยากลำบากเมื่อพิจารณาถึงมาตรการ COVID ที่เคร่งครัด เราจึงต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างประณีตเพื่อใช้กฎและระเบียบข้อปฏิบัติเหล่านั้นให้เหมาะสม ความจำกัดอาจก่อให้เกิดแนวคิดใหม่ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ล้วนเต็มไปด้วยแนวคิดสดใหม่

เมื่อการปิดประเทศเริ่มขึ้นตอนเดือนมีนาคม พวกเราไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เราเห็นความตื่นตระหนกเกิดขึ้นมากมายในแวดวงภาพยนตร์คล๊าร์คกล่าว หลายคนตื่นกลัวว่าพวกเราจะกลับไปรับงานอีกครั้งได้เมื่อไหร่และใช้วิธีใด ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง เราต้องการหนทางที่จะกลับไปทำงานได้อย่างปลอดภัย และภาพยนตร์ SONGBIRD ก็ให้โอกาสนั้น

หลังจากร่วมมือกับทางรัฐบาลประจำเมืองรวมไปถึงสหภาพและกลุ่มคนทำภาพยนตร์กลุ่มใหญ่ในลอสแองเจลิส เราก็ได้พบหนทางในการกลับมาทำงานอย่างปลอดภัยวอลตูร์ขยายความ เราถ่ายทำและตัดต่อภาพยนตร์เรื่องนี้จนเสร็จสิ้นโดยไม่มีใครป่วยเลย

เมื่อการถ่ายทำหลักใกล้เสร็จสิ้นลง เหล่านักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ต่างใช้เวลาเพื่อสะท้อนถึงสิ่งที่พวกเขาหวังว่าผู้ชมจะได้ประสบเมื่อได้รับชมภาพยนตร์ SONGBIRD

คาร์สันเริ่มจากนกตัวที่เป็นเจ้าของชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ นกในสายพันธุ์นกร้องเพลง (Songbird) จะร้องเพลงแห่งความหวังอย่างไม่หยุดหย่อนหรือเกรงกลัวเธออธิบาย อดัมบอกฉันว่าสำหรับเขาแล้ว ซาร่าคือนกร้องเพลงตัวนั้น เธอคือนักรบแห่งความหวัง เขายังคอยเตือนความจำฉันเสมอว่าแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะกล่าวถึงเหตุการณ์การเอาตัวรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง…ท้ายที่สุดแล้วภาพยนตร์ของเราก็เล่าถึงความหวังและพลังแห่งรักที่ชนะทุกสิ่ง… ฉันหวังว่านั่นคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้รับรู้เมื่อพวกเขาได้พบกับ ซาร่าและ นิโค

สำหรับ อาปาแล้ว ประสบการณ์จากภาพยนตร์ SONGBIRD ซึ่งถ่ายทำระหว่างเหตุการณ์โรคระบาดใหญ่จะส่งผลถึงตัวเขาตลอดกาล ประสบการณ์จากการถ่ายทำครั้งนี้ทำให้ผมมีความหวัง และมันเกี่ยวข้องกับการทำตามฝันในขณะที่ชีวิตพบอุปสรรคหนักหนาเขากล่าวเราสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเราต่างรักการทำภาพยนตร์ เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสและมันก็สำเร็จได้อย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกัน ผมยังชอบแก่นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะมันบอกเล่าถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของการอยู่รอดและชัยชนะ

เมสันสรุปว่า เรานำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันและปรับแต่งมัน มันคือแคปซูลกาลเวลาของโลกที่เรากำลังอาศัยอยู่ ณ ขณะนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด นั่นคือเราต้องให้มันเป็นงานที่สร้างความบันเทิง เป็นเรื่องรักที่เต็มไปด้วยแอคชั่นและจะนำพาให้ผู้ชมผจญภัยไปด้วยกัน

ประวัติทีมนักแสดง

เคเจ อาปารับบทนิโค

เคเจ อาปารับบทนิโค

          หนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงผู้สร้างชื่อเสียงในฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว เคเจ อาปารับบทนำในผลงานระทึกขวัญเรื่องล่าสุด Songbird ร่วมจอกับ โซเฟีย คาร์สัน กำกับโดย อดัม เมสัน และอำนวยการสร้างโดย ไมเคิลเบย์ เล่าถึงเรื่องราวอนาคตในอีกสองปีข้างหน้าที่ไวรัสโควิดฯ ได้เกิดการกลายพันธุ์และร้ายแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนนำไปสู่สถานการณ์การล็อคดาวน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยภาพยนตร์เตรียมเข้าฉายในบ้านเรา 21 มกราคมนี้

            ก่อนหน้านี้ อาปา รับบทเป็นเจเรมี่ แคมป์นักดนตรีคริสเตียนผู้มีตัวตนจริงในภาพยนตร์เรื่อง I Still Believe(2020) ที่เล่าถึงเส้นทางของความรักและการสูญเสีย ซึ่งเป็นงานกำกับโดยสองพี่น้องเออร์วินส์ เขานำแสดงร่วมจอกับ บริท โรเบิร์ตสัน, ชาไนอา ทเวนและ แกรี่ ซีนีส ภาพยนตร์จัดจำหน่ายโดยค่าย Lionsgate ออกฉายไปเมื่อช่วงกลางปี 2020 ซึ่งจากการแสดงในผลงานนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากเวที People’s Choice ในสาขา นักแสดงภาพยนร์ดราม่ายอดเยี่ยม อีกทั้งตัวหนังยังได้เข้าชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยม ด้วยเช่นกัน

            อาปา กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของผู้ชมจากการรับบทนำเป็น อาร์ชี่ แอนดรูวส์ ในซีรีส์สุดฮิต Riverdale(2017-) ที่เล่าถึงเรื่องราวของพระเอกอาร์ชี่และกลุ่มเพื่อนๆ ของเขา เคล้าคลอไปด้วยเรื่องรักโรแมนติก พร้อมปัญหาภายในครอบครัวและโรงเรียนที่เกิดขึ้น บทบาทนี้ทำให้ อาปา ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเวทีTeen Choice Award และ Saturn Awardในสาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม ด้านซีรีส์นั้นได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย เช่น ซีรีส์ดราม่ายอดนิยม จากเวที  People’s Choice Awards, Kids’ Choice Awards, Teen Choice Awards ปัจจุบัน ซีซั่น 5 กำลังรอออกอากาศภายในปี 2021

            เมื่อปีที่แล้ว อาปา ยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Last Summer(2019) ที่เล่าเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในช่วงฤดูร้อนครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าเรียนต่อกันที่มหาวิทยาลัย ตัวหนังออกฉายทาง Netflix และได้เข้าชิงรางวัล หนังซัมเมอร์ยอดเยี่ยม ในเวทีTeen Choice Award

            ในปี 2018 อาปา ร่วมแสดงในหนังเรื่อง The Hate U Give(2018) ร่วมจอกับ อแมนด์ล่า สเตนเบิร์ก, เรจิน่า ฮอลล์และแอนโธนี่ แม็คคี่ ภาพยนตร์จัดจำหน่ายโดย Twentieth Century Fox และได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยม จากเวทีTeen Choice Award รวมทั้ง อาปา ยังได้เคยร่วมแสดงกับ จอชแกด, เดนนิสเควด, ลูคเคียร์บี้และ บริท โรเบิร์ตสัน ในภาพยนตร์เรื่อง A Dog’s Purpose(2017) ที่สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2017 ผ่านการจัดจำหน่ายโดย Universal Pictures

            อาปา นั้นมีพื้นเพเป็นชาวนิวซีแลนด์ โดยเขาเคยเล่นละครระดับน้ำดีของนิวซีแลนด์เรื่อง Shortland Street(2014-2015) มาก่อน ที่เล่าถึงหลากเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนภายในโรงพยาบาลเมืองโอ๊คแลนด์อาปา ร่วมแสดงกับ โธมาซิน แมคเคนซี่ นักแสดงหญิงที่ปัจจุบันกำลังมาแรงในวงการด้วยเช่นกัน จากการร่วมแสดงในหนังอย่าง Jojo Rabbit (2019), The King (2019), Leave No Trace(2018) อีกทั้ง อาปา ยังร่วมแสดงในซีรีส์ดราม่า-ไซไฟเรื่อง The Cul De Sacที่ออกอากาศเมื่อปี 2016-2018 ด้วยเช่นกัน

            นอกเหนือจากบทบาทการแสดงบนจอแล้ว อาปา ยังมีความสามารถพิเศษด้านดนตรีอย่างการเล่น กีต้าร์ และ เปียโน เมื่อตอนที่เขาอายุ 14 ปี อาปาเคยอัดอัลบั้มแรกของเขา อีกทั้งได้มีโอกาสโชว์เล่นดนตรีภายในเทศกาลดนตรีโคเชลลา (Coachella) และงานTeen Vogue’s Young Hollywood party รวมถึงมีฉากที่เขาโชว์เล่นดนตรีด้วยตัวเองในซีรีส์Riverdale และภาพยนตร์ I Still Believe มาแล้ว

โซเฟีย คาร์สัน รับบท ซาร่า

โซเฟีย คาร์สัน รับบท ซาร่า

          โซเฟีย มียอดผู้ติดตามบนช่องทางโซเชียลมีเดียของเธอมากกว่า 25 ล้านคน เธอเป็นที่รู้จักจากการให้เสียงพากย์ในซีรีส์อนิเมชั่นสุดฮิตของดิสนีย์เรื่อง Descendants และจากการร่วมแสดงในซีรีส์ขวัญใจนักวิจารณ์เรื่อง Pretty Little Liars: The Perfectionists(2019) เมื่อช่วงกลางปี 2020 เธอได้นำแสดงในภาพยนตร์ของ Netflix เรื่อง Feel the Beat ซึ่งถือเป็นงานการแสดงภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของเธอ และล่าสุดเธอกลับมารับบทนำอีกครั้ง ประกบคู่กับนักแสดงหนุ่มหล่อ เคเจ อาปา ในภาพยนตร์เรื่อง Songbird ที่อำนวยการสร้างโดย ไมเคิลเบย์

            นอกจากบทบาทด้านการแสดงแล้ว คาร์สัน ยังเป็นที่รู้จักจากการเป็นนักร้อง อัลบั้มเพลงของเธอเคยขึ้นสู่อันดับ 1 ของบิลบอร์ด(Billboard) และยังมียอดผู้ชมมิวสิควีดีโอรวมกันสูงกว่า 2 พันล้านวิว ในปี 2019 คารส์สันได้ปล่อยซิงเกิลI Luv U ที่ได้กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก ขึ้นสู่อันดับ 1 ใน Friday Playlists ของ Spotify ตามมาด้วยซิงเกิลMiss U More Than UKnow, Guess I’m A Liarที่ต่างล้วนเป็นเพลงฮิตโดนใจทั้งหมด โดยเฉพาะ Guess I’m A Liar นั้นสามารถทำยอดผู้ชมมิวสิควีดีโอทะลุล้านวิวได้ภายในวันเดียวกับที่ปล่อยออกมา

            คาร์สัน ยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมาแล้วด้วยเช่นกัน ทั้งจากเวที Teen Choice Award กับรางวัล นักแสดงซีรีส์ยอดเยี่ยม และจากเวที Radio Disney Music Awards กับรางวัล เพลงยอดเยี่ยม

            คาร์สัน เคยโชว์เพลงของเธอภายในเทศกาลดนตรีโคเชลลา, ป๊อปสปริง 2018 ที่ญี่ปุ่น และ UNICEF Summer Gala ที่อิตาลี ล่าสุดคาร์สันกับอีกสองนักร้องดัง พิงก์ (P!NK) และ เคที เพอร์รี่ (Katy Perry) ยังได้แท็กทีมกันเพื่อจัดงานโชว์ร่วมกับ UNICEFในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาคาร์สันยังได้จัดคอนเสิร์ตเสมือนจริง (virtual concertexperience) สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่แฟนๆ ของเธอกับชื่อโชว์ที่ว่า “Sofia Carson Live” ที่สตรีมไปทั่วโลก

            เธอยังเป็นพิธีกรและออกโชว์ในรายการทีวีและวิทยุมาแล้วมากมายทั้งในช่อง ABC, Freeform และในรายการอย่าง Disney Channel Holiday Specials, GoodMorning America, Dancing With The Stars, Feliz!, The Kelly Clarkson Showเป็นต้น

            นิตยสารแฟชั่นชื่อดังอย่าง โว้ก (VOGUE) ยังได้เคยยกให้เธอเป็น หนึ่งในดาราพรมแดง ที่เลิศที่สุดของยุคนี้ ปัจจุบันคาร์สันเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นทูตคนใหม่ล่าสุดของUNICEF USAเธอทุ่มเทและตั้งใจที่จะใช้เสียงของเธอเพื่อดึงดูดเยาวชนทั่วสหรัฐอเมริกาให้แสวงหาความเท่าเทียมกัน ส่งเสริมด้านการศึกษาเพื่อสร้างโลกแห่งการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ ทุกคน เธอยังเคยมีส่วนร่วมกับงานการกุศลและมูลนิธิต่างๆ มาแล้วอย่าง Make-A-Wish, Latin GRAMMY, House of Blues Music Forwardเป็นต้น

คาร์สัน ยังได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกคนล่าสุดของ REVLONและมีคอลเลคชั่นเมคอัพเซ็ตของเธอเอง คาร์สัน เกิดที่เมืองฟอร์ตลอเดอร์เดลในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา และเติบโตในไมอามี เธอเข้าเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA)คาร์สัน พูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศสและสเปน

เคร็ก โรบินสัน รับบท เลสเตอร์

            โรบินสัน เริ่มต้นงานในสายวงการบันเทิงด้วยการเป็นนักเดี่ยวไมโครโฟน เขาพูดโชว์ครั้งแรกภายในงานมหกรรม “Just For Laughs”ที่จัดขึ้นที่เมืองมอนทรีออลเมื่อปี 1998 โรบินสันยังมีวงดนตรีของตัวเองด้วยเช่นกันกับวงที่มีชื่อว่า “The Nasty Delicious”

            อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่เขาจะตัดสินใจเข้าสู่วงการตลก เขาเคยเป็นครูที่โรงเรียนในชิคาโก โรบินสันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐอิลลินอยส์และปริญญาโทด้านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซนต์ซาเวียร์

            โรบินสัน เป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น ดาร์ริลฟิลบิน ในซีรีส์ตลกสุดฮิต The Office(2005-2013) และเขายังร่วมแสดงในหนังเรื่องดังมากมายอย่าง Knocked Up (2007),This is the End (2013), Hot Tub Time Machine (2010), Morris from America (2016), Dolemite is my Name! (2019)เขายังมีผลงานซิทคอมของตัวเองชื่อว่า Mr. Robinson (2015) และ Ghosted (2017-2018) ที่ออกอากาศทางช่อง FOX

แบรดลีย์วิตฟอร์ดรับบท วิลเลียมกริฟฟิน

            พื้นเพเดิมนั้น วิตฟอร์ด เป็นนักแสดงละครเวทีที่ฝึกฝนฝีมือการแสดงมาอย่างเชี่ยวชาญและจากการที่เขาได้ร่วมแสดงกับบทของ จอชไลแมน ในซีรีส์เรื่อง The West Wing (1999-2006) นั้นยิ่งทำให้ชื่อเสียงของวิตฟอร์ดโด่งดังในชั่วข้ามคืน จากการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล เอมมี่ และ ลูกโลกทองคำ เขาคือหนึ่งในนักแสดงไม่กี่คนที่ผลงานนั้นประสบความสำเร็จพร้อมกันทั้งในซีรีส์และภาพยนตร์เรียกได้ว่าเป็น ฝีมือหาตัวจับยากแห่งฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้

            เมื่อปี 2019 เขาได้รับรางวัล Primetime Emmy จากการรับบทในซีซั่น 3 ของซีรีส์ดราม่าสายคุณภาพเรื่อง The Handmaid’s Tale (2018-2021)

            เร็วๆ นี้ วิตฟอร์ดได้ร่วมแสดงในซีรีส์ตลกเรื่อง Perfect Harmony(2019-2020)ที่เล่าถึงเรื่องราวของคณะนักร้องประสานเสียงของคริสตจักร ซึ่งออกอากาศทางช่อง NBC โดยมีนักแสดงอย่าง แอนนา แคมป์, สเปนเซอร์อัลพอร์ต, วิล กรีนเบิร์ก, ทิมเบอร์ลี ฮิล, ริซวาน แมนจี, เจโน ซีเกอรส์ร่วมรับบท

            ปีนี้ วิตฟอร์ดได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์หลากหลายเรื่องทั้ง Sergio(2020) ที่ออกฉายทาง Netflix, Three Christs(2017) ประกบคู่กับเหล่านักแสดงอย่าง ริชาร์ด เกียร์-ปีเตอร์ดิงค์เลจ-จูเลียนนา มาร์กูลีส, The Last Full Measure(2019) ร่วมจอกับ ซามูเอลแอล. แจ็กสัน-เซบาสเตียนสแตน-คริสโตเฟอร์พลัมเมอร์ม-วิลเลียมเฮิร์ต, The Call of the Wild(2020) ผลงานผจญภัยที่สร้างจากนิยาย และล่าสุดกับ Songbird ที่มาพร้อมกับเหล่านักแสดงเปี่ยมฝีมืออย่าง เคเจ อาปา, โซเฟีย คาร์สัน, เคร็ก โรบินสัน, เดมี มัวร์, พอลวอลเตอร์ฮาวเซอร์, ปีเตอร์สตอร์แมร์

            อีกทั้งก่อนหน้านี้ วิตฟอร์ดยังได้มีผลงานในภาพยนตร์เรื่องดังมาแล้วมากมายอย่างGodzilla: King of the Monsters (2019), The Darkest Minds (2018), ThePost (2017),Get Out (2017), Saving Mr. Banks (2013), The Cabin in the Woods (2011)ด้านซีรีส์เขาเคยรับบทในเรื่องอย่าง Transparent (2014-2019) ที่ทำให้เขาคว้ารางวัล Primetime Emmy ในสาขา นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ตลกรวมทั้ง Brooklyn Nine-Nine (2015-2020), The X Files (1994)

            วิตฟอร์ดเติบโตที่รัฐวิสคอนซิน เขาศึกษาด้านการละครและวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยเวสเลยัน และได้เข้าร่วมการแสดงที่โรงละคร Juilliard Theatre Centerวิตฟอร์ดยังเคยได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากการร่วมแสดงละครเวทีเรื่อง Boeing, Boeing ที่โรงละคร Longacre Theatre โดยนำแสดงร่วมกับ มาร์ก ไรแลนซ์, คริสติน บาแรนสกี, แคทริน ฮาห์น, จีน่า เกอร์ชอน, แมรี แมคคอร์แมกนอกจากนี้เขายังร่วมแสดงในละครเวทีเรื่องดังอย่าง A Few Good Men ที่ดัดแปลงมาจากฉบับภาพยนตร์, Measure for Measure, Coriolanus, Curse of theStarving Class, Three Days of Rainมาแล้ว

ปีเตอร์สตอร์แมร์ รับบท เอ็มเมทฮาร์แลนด์

ปีเตอร์สตอร์แมร์ รับบท เอ็มเมทฮาร์แลนด์

            ผลงานที่ทำให้ สตอร์แมร์ เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงภาพยนตร์นั้นคือจากการร่วมแสดงในหนังเรื่อง Awakenings (1990) ที่มี โรเบิร์ตเดอ นิโร และ โรบิน วิลเลียมส์ รับบทนำ รวมถึงจากบทบาทนักฆ่าในหนังอาชญากรรม-ตลกร้ายเรื่อง Fargo (1996) ที่กำกับโดยสองพี่น้องโคเอน

            สำหรับผู้ชมมักจะต้องคุ้นหน้าของสตอร์แมร์จากการรับบทเป็นตัวร้ายหรือคนต่างชาติที่มีท่าทีแปลกประหลาด เช่นจากในผลงานอย่าง Armageddon (1998), The Lost World: Jurassic Park (1997), Minority Report (2002), Bad Boys 2 (2003), The Big Lebowski (1998), 22 Jump Street (2014) และ Constantine (2005)

            ผลงานด้านซีรีส์สตอร์แมร์เคยร่วมแสดงในซีรีส์สุดฮิตอย่าง Prison Break (2005-2007), The Blacklist (2014), American Gods(2017-2021) เขายังทำบริษัทโปรดัคชั่นที่มีชื่อว่า The Viking Brothers ซึ่งเคยสร้างซีรีส์เรื่อง Swedish Dicks(2016-2018) ที่นำแสดงโดย โยฮานแกลนซ์, คีอานูรีฟส์ และตัวสตอร์แมร์เอง

            และสำหรับ Songbird นั้น สตอร์แมร์รู้สึกยินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้กลับมาร่วมงานกับ ไมเคิลเบย์ อีกครั้งหลังจากที่ทั้งคู่เคยร่วมงานกันไปใน Armageddon (1998), Bad Boys 2 (2003), Pain & Gain (2013)

อเล็กซานดร้า ดาแดริโอรับบท เมย์

อเล็กซานดร้า ดาแดริโอรับบท เมย์

            ดาแดริโอได้รับความสนใจและเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากบทอันสุดโต่งของเธอในซีรีส์ดราม่า-อาชญากรรม True Detective(2014) ซีซั่น 1 ที่ร่วมนำแสดงโดย วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน และ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ เธอยังร่วมแสดงในหนังมหันตภัยบล็อกบัสเตอร์เรื่อง San Andreas(2015) ร่วมกับ ดเวย์น จอห์นสัน ที่ทำเงินทั่วโลกรวมไปกว่า 470 ล้านเหรียญฯ

            ในช่วงเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ดาแดริโอได้นำแสดงไปในหนังอย่าง Lost Girls And Love Hotels (2020), หนังระทึกขวัญ Night Hunter(2018) ที่ร่วมจอกับ เฮนรี คาวิล และ เบน คิงสลีย์, หนังโรแมนติก-คอมเมดี้Can You Keep A Secret?(2019) ร่วมจอกับ ไทเลอร์เฮอคลิน

            รวมทั้งเธอยังเคยรับบทนำในหนังเรื่องดังที่แฟนๆ ย่อมรู้จักกันดีอย่าง Baywatch (2017),Percy Jackson & The Olympians (2010), Percy Jackson & TheOlympians: Sea Of Monsters (2013), Texas Chainsaw 3D (2013) สำหรับด้านซีรีส์ เธอเคยร่วมแสดงในผลงานที่ชื่อดังไม่แพ้กันอย่าง The Sopranos (2006), White Collar (2009-2010), Law &Order Criminal Intent (2005-2009)และ Parenthood (2012)

ดาแดริโอยังเคยได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในFresh Faces หรือ สาวมาแรงมากความสามารถ จากนิตยสาร มารี แคลร์ (Marie Claire)ในเดือนพฤษภาคมปี 2017 และทะยานสู่อันดับที่ 4 ในลิสต์ดาราแห่งปี 2017 จากเว็บไซต์ IMDb

            ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ใน เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

พอลวอลเตอร์ฮาวเซอร์รับบท โดเซอร์

            เร็วๆ นี้ฮาวเซอร์เพิ่งมีผลงานดราม่าขายฝีมือไปในหนังเรื่อง Richard Jewell(2019) ที่กำกับโดยมือเก๋า คลินท์อีสต์วู้ด โดยหนังยังร่วมแสดงโดย แซม ร็อคเวลล์, เคที เบตส์, จอน แฮมม์และ โอลิเวียไวลด์

            ฮาวเซอร์ ยังเป็นที่จดจำของคอหนังจากการรับบทเป็นชอว์นเอ็คฮาร์ดต์ ที่เรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่แย่งซีนสุดๆ ในภาพยนตร์เรื่อง I, Tonya(2017) ที่นำแสดงโดย มาร์โกต์ร็อบบี้, เซบาสเตียนสแตนและ แอลลิสัน แจนนีย์ เขายังเคยร่วมแสดงในหนังของผู้กำกับมือรางวัล สไปก์ ลี อย่าง Blackkklansman(2018) และ Da 5 Bloods(2020) ที่ร่วมจอกับ แชดวิก โบสแมน, เดลรอยลินโด, ฌ็อง เรโนมาแล้วด้วยเช่นกัน

เดมี มัวร์รับบท ไพเพอร์กริฟฟิน

เดมี มัวร์รับบท ไพเพอร์กริฟฟิน

            มัวร์ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เธอคือหนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการฮอลลีวูด โดยเธอได้ทุ่มเทความสามารถของตัวเองให้กับงานภาพยนตร์และโทรทัศน์อย่างเต็มที่ ทั้งงานเบื้องหน้ากล้องและงานเบื้องหลังกล้อง

            ในปีนี้มัวร์ได้นำแสดงในสองซีรีส์อย่าง Dirty Diana(2020) ที่เธอยังควบตำแหน่งอำนวยการสร้างด้วยเช่นกัน และ Brave New World(2020) ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อดังว่าด้วยโลกดิสโทเปียในอนาคต รวมถึงงานภาพยนตร์ในช่วงหลังอย่าง Corporate Animals(2019) ร่วมจอกับ เอ็ด เฮมส์, Rough Night(2017) ที่นำแสดงโดย สการ์เลตต์โจแฮนส์สัน และ เคทแม็คคินน่อน, Blind(2017) ประกบคู่กับ อเล็กบาลด์วิน

            มัวร์เริ่มต้นเป็นที่รู้จักจากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง St. Elmo’s Fire (1985) และโด่งดังสุดๆ จากการโชว์ฝีมือในหนังอย่างA Few Good Men (1992), Ghost (1990), Indecent Proposal (1993), Disclosure (1994) และ G.I. Jane (1997) เธอยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลลูกโลกทองคำ ในสาขา นักแสดงนำหญิงของภาพยนตร์ที่ออกฉายทางโทรทัศน์ จากเรื่อง If These Walls Could Talk (1996)

            มัวร์ยังรับบทนำและร่วมแสดงในหนังที่ล้วนได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี อาทิ Charlie’s Angels: Full Throttle (2003), Bobby (2006), Flawless(2007) และ The Joneses (2009) นิตยสารนิวยอร์กยังเคยชื่นชมเธอถึงการรับบทในหนังระทึกขวัญการเงินเรื่อง Margin Call(2011) ว่าเป็น การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต

            เมื่อปีที่แล้ว มัวร์ยังได้ออกหนังสือที่มีชื่อว่า Inside Out: A Memoir ที่ติดอันดับกลายเป็นหนังสือขายดีของเดอะนิวยอร์กไทมส์ในทันที โดยหนังสือนี้เปรียบได้ดั่งเป็นบันทึกความทรงจำของเธอ มัวร์เปิดอกเล่าถึงอาชีพการงานและเรื่องส่วนตัวของเธอในแง่มุมต่างๆ รวมไปถึงความสัมพันธ์อันสับสนวุ่นวายและไม่ค่อยลงรอยกับแม่ของเธอ รวมทั้งชีวิตการแต่งงานและการต้องแบ่งเวลาสร้างความสมดุลระหว่างการเป็นดารานักแสดงและการเป็นแม่คน

            มัวร์ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์Thorn ซึ่งหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเด็กๆ จากการถูกล่วงละเมิดทางเพศและการค้ามนุษย์

ประวัติทีมงาน

อดัม เมสัน– ผู้เขียนบทร่วม, ผู้กำกับ

            เมสัน จบการศึกษามาจากโรงเรียนภาพยนตร์นานาชาติลอนดอน (London International Film School) เมื่อปี 1999 หลังจากนั้นเขากำกับงานมิวสิควีดีโอไปมากกว่า 200 ชิ้น, ภาพยนตร์ 10 เรื่อง และงานโฆษณาอีกมากมาย ภาพยนตร์อิสระที่เขากำกับและเขียนบทร่วม ได้แก่ Broken (2006) ที่จัดจำหน่ายโดยค่าย Miramax, The Devil’s Chair (2007) ที่จัดจำหน่ายโดยค่าย Sony และเปิดตัวฉายในสาย Midnight Madness ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโทรอนโต (Toronto International Film Festival), Blood River (2009), Pig (2010) และ Hangman (2015)

            เมื่อปี 2019 เมสันกำกับภาพยนตร์สองเรื่องให้แก่ค่าย Blumhouse เพื่อลงฉายทางสตรีมมิ่ง Hulu โดยเป็นสองตอนในซีรีส์Into the Dark อย่างเรื่อง I’m Just Fucking With You (2019) และ TheyCome Knocking (2019) ซึ่งเรื่อง I’m Just Fucking With You นั้นได้เคยเปิดตัวฉายที่เทศกาล SXSW (South by Southwest) อีกทั้งในปีเดียวกัน เมสันยังกำกับมิวสิควีดีโอให้แก่วงร็อก Alice In Chains อีกด้วย

            เมสันมีเพื่อนมือเขียนบทคู่ใจชื่อว่า ไซมอน โบเยส ที่ได้เคยเขียนบทและขายบทภาพยนตร์จำนวนเรื่องนับไม่ถ้วนให้แก่ค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Paramount, Relativity, Universal, Skydanceและ Lionsgate บทหนังฉบับดั้งเดิมที่พวกเขาเคยเขียนอาทิ Not Safe For Work (2014), Misconduct(2016) ที่นำแสดงโดย อัล ปาชิโน, แอนโทนีฮ็อปกินส์, จอช ดูฮาเมลและ มาลิน เอเคอร์แมน

ไซมอน โบเยสผู้เขียนบทร่วม

          โบเยส มีพื้นเพมาจากสหราชอาณาจักรเขาสำเร็จการศึกษาด้านภาพยนตร์และวรรณคดีจากมหาวิทยาลัยวอร์ริก (Warwick University) ก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียเขาร่วมเขียนบทในภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติอังกฤษอย่างเรื่อง Broken(2006) ที่จัดจำหน่ายโดยค่าย Dimension และได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย, The Devil’s Chair (2007) ที่เคยเปิดตัวฉายในสาย Midnight Madness ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโทรอนโตรวมทั้ง Blood River(2009), Luster (2010) และ Junkie (2012) ที่ล้วนเคยได้รับรางวัลมาแล้วหลายรางวัล

            เมื่อเขาย้ายมาอยู่ที่ลอสแอนเจลิสโบเยส และ อดัม เมสันได้ร่วมกันเขียนบทภาพยนตร์อย่าง Not Safe For Work(2014)ที่อำนวยการสร้างโดย เจสัน บลัม จาก Paranormal Activity(2007-2015) และกำกับโดย โจ จอห์นสตัน จาก Captain America(2011) รวมทั้ง Hangman(2015)ที่เคยเปิดตัวฉายในเทศกาล SXSW (South by Southwest), Misconduct(2016) ที่นำแสดงโดย อัล ปาชิโน, แอนโทนีฮ็อปกินส์ และ Mechanic(2011-2016) หนังแอคชั่นที่นำแสดงโดย เจสัน สเตแธม

            โบเยส นั้นเคยร่วมงานกับค่ายภาพยนตร์ชื่อดังมาแล้วมากมายทั้ง Paramount, Lionsgate, Skydance, Relativity, Blumhouse, Platinum Dunes

ไมเคิลเบย์– ผู้อำนวยการสร้าง

          ไมเคิลเบย์ ก้าวขึ้นมาสู่การเป็นผู้กำกับตั้งแต่ในวัย 23 ปี และเมื่ออายุได้ 25 ปีเขาได้รับการยอมรับถึงการเป็นผู้กำกับโฆษณาระดับมืออาชีพของโลก เขาได้รับรางวัลจากเวทีCannes Lions Grand Prix ในสาขา โฆษณายอดเยี่ยม จากงานGot Milk? / Aaron Burr ซึ่งได้รับการยกให้เป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์โฆษณาคลาสสิกตลอดกาลโฆษณาหลายชิ้นของเขาได้รับการจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (MOMA) ณ นิวยอร์ก

          จากนั้นเบย์ ได้เริ่มต้นสู่งานกำกับภาพยนตร์ใน Bad Boys(1995) ที่นำแสดงโดยแอคชั่นสตาร์ วิลล์สมิธ ถัดมาด้วยผลงานที่ล้วนเป็นระดับบล็อกบัสเตอร์ทั้งสิ้นอย่าง The Rock(1996) ที่นำแสดงโดย ฌอน คอนเนอรี, นิโคลัสเคจและ เอ็ด แฮร์ริส, Armageddon (1998), Pearl Harbor (2001), Bad Boys 2(2003) และแฟรนไชส์Transformers(2007-2017) ผลงานของเขาล้วนประสบความสำเร็จอย่างมากบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ ทำให้ปัจจุบันเบย์กลายเป็นผู้กำกับที่มีผลงานภาพยนตร์ที่ทำรายได้รวมสูงสุดเป็นอันดับสองรองจาก สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ล้วนมีผลงานอันประสบความสำเร็จมากมายเช่นกัน

            อย่างไรก็ตาม เบย์ยังเบนไปทำภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ไม่ได้ใช้ทุนสร้างมากโขด้วยเช่นกัน อาทิในผลงานอย่าง Pain and Gain(2013) หนังตลกร้ายที่นำแสดงโดย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก และ ดเวย์น จอห์นสัน, 13 Hours:The Secret Soldiers of Benghazi(2016) ที่สร้างจากเรื่องจริงของภารกิจกู้ภัยที่ช่วยชีวิตชาวอเมริกัน36 คนระหว่างการโจมตีสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบียเมื่อเดือนกันยายนในปี 2012

             ในปี 2014 นิตยสาร The Hollywood Reporter ได้ยกตำแหน่งให้เบย์และหุ้นส่วนของเขาในบริษัทPlatinum Dunes (ที่เป็นบริษัทของเบย์เอง) เป็นผู้อำนวยการสร้างแห่งปี ด้านบริษัทนั้นก่อตั้งขึ้นในปี 2001 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการอำนวยการผลิตภาพยนตร์หลากหลายแนวตั้งแต่ สยองขวัญ อย่างTexas Chainsaw Massacre (2003), Amityville Horror (2005) และ Nightmare on Elm Street (2010), The Purge (2013) และ Ouija(2014) ไปจนถึงแอคชั่นแฟรนไชส์อย่างTeenage MutantNinja Turtles (2014-2016) กล่าวโดยรวมแล้วภาพยนตร์ของเบย์ในฐานะทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างสามารถทำรายได้บนบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกไปมากกว่า 9.4 พันล้านเหรียญฯ

            Platinum Dunes ยังได้อำนวยการผลิตอีกหนึ่งภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง A Quiet Place(2018) ที่กำกับและนำแสดงโดย จอห์น คราซินสกี้ และยังได้ เอมิลี บลันต์ มาร่วมแสดง หนังออกฉายในเดือนเมษายน ปี 2018 และสร้างกระแสตอบรับในแง่บวกอย่างถล่มทลายทั้งจากฝั่งนักวิจารณ์และผู้ชม ตัวหนังทำเงินในอเมริกาช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัวไปกว่า 50 ล้านเหรียญฯ และทำเงินรวมทั่วโลกไปมากกว่า 340 ล้านเหรียญฯ

            ด้านซีรีส์Platinum Dunes ยังได้อำนวยการผลิตซีรีส์แอคชั่นผจญภัยอย่าง Black Sails(2014–2017)ที่ออกอากาศทางช่อง Starz, The Last Ship(2014–2018)ที่ออกอากาศทางช่อง TNT และ Jack Ryan(2018– )ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อดังของทอม แคลนซี ซึ่งนำแสดงโดย จอห์น คราซินสกี้ ที่ออกอากาศทาง Amazon Prime

            ในปี 2015 เบย์ได้ช่วยเปิดตัวบริษัทอีกแห่งหนึ่งชื่อ451 Media Group ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนากระบวนการผลิตและการทำตลาดทั่วโลกเกี่ยวกับเทคโนโลยี,ศิลปะและสินค้าโดยอิงจากนิยายภาพและสื่อใหม่ๆ

            เมื่อปีที่แล้ว เบย์ได้กำกับภาพยนตร์แอคชั่นเรื่อง 6 Underground(2019) ที่ออกฉายทาง Netflix นำแสดงโดย ไรอัน เรย์โนลส์, เมลานีโลรองต์, คอรีย์ฮอว์กินส์, เอเดรียอาโจน่า, มานูเอลการ์เซีย-รัลโฟ, เบน ฮาร์ดี, ไลออร์ราซ, เพย์มัน โมอาดีและ เดฟฟรังโก้ โดยตัวบทนั้นมีไอเดียดั้งเดิมมาจากสองมือเขียนบท เร็ทท์รีส และ พอลเวอร์นิก ที่เคยเขียนบทหนังแอคชั่นเรื่องดังอย่าง Zombieland (2009), Deadpool(2016) ด้านการถ่ายทำนั้น 6 Underground ถ่ายทำกันที่ประเทศ อิตาลี, ฮังการีและ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทันทีที่ออกฉายก็ได้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีผู้ชมมากที่สุดของ Netflix ด้วยยอดผู้ชมกว่า 83 ล้านครัวเรือนในช่วงสี่สัปดาห์แรกที่หนังเปิดตัว

มาร์เซ เอ. บราวน์ – ผู้อำนวยการสร้าง

          มาร์เซ เอ. บราวน์คือหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง CatchLight Studios บริษัทที่ได้อำนวยการผลิตและบริหารงานภาพยนตร์มาแล้วมากกว่า 16 เรื่อง ผลงานเรื่องเด่นที่เธอเคยอำนวยการสร้างคือหนังอย่าง BlacKkKlansman (2018) ที่คว้ารางวัล บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ และ Get Out(2017) ที่คว้ารางวัล บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์เช่นกัน

ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิตภาพยนตร์ในหนังอย่าง Evan Almighty (2007), Wanderlust (2012), Identity Thief (2013) และ The Five Year Engagement (2012) เธอยังเคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของ เจย์โรช, ทอมแช็ดแย็คและ เดวิด เวน

เจสัน คล๊าร์ค – ผู้อำนวยการสร้าง

เจสัน คล๊าร์คเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท CatchLight Studios เขาคือผู้อำนวยการสร้างที่เคยได้รับหลากหลายรางวัลจากผลงานภาพยนตร์, ซีรีส์และอนิเมชั่น

จากการทำงานร่วมกันกับกลุ่มเพื่อนผู้กำกับนักเขียนและเหล่าศิลปิน คล๊าร์ครับหน้าที่เป็นประธานของ Fuzzy Door Productions ที่ก่อตั้งโดย เซท แมคฟาร์เลนนักแสดงสายคอมเมดี้ชื่อดัง โดยคล๊าร์คทั้งอำนวยการผลิตและดูแลด้านการตลาดให้กับภาพยนตร์และซีรีส์ ขณะทำงานอยู่ที่ Fuzzy Doorคล๊าร์คอำนวยการสร้างหนังคอมเมดี้สุดฮิตขวัญใจผู้ชมอย่าง Ted (2012), Ted 2 (2015), A Million Ways To Die In The West(2014) และซีรีส์อย่างCosmos: A Spacetime Odyssey(2014) ที่เคยคว้ารางวัล Primetime Emmy และออกอากาศทางช่อง Fox และ National Geographic, The Long Road Home(2017– )มินิซีรีส์เจ้าของรางวัล MovieGuide ที่ออกอากาศทางช่อง National Geographic และ The Orville(2017– )ซีรีส์ผจญภัย-คอมเมดี้ของช่อง Fox

นอกจากนี้ คล๊าร์คยังเคยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์และอนิเมชั่นเรื่องดังอย่าง 42 (2013),  Act Of Valor (2012), Cabin In The Woods (2011), Monster House (2006) และ Stuart Little (1999)

เจนเน็ตต์วอลตูร์–ผู้อำนวยการสร้าง

            เจนเน็ตต์วอลตูร์คือหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง CatchLight Studios ซึ่งเธอได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์มาแล้วมากกว่า 85 เรื่อง

            ในปี 2012 วอลตูร์เข้าทำงานที่บริษัทBlumhouse Productions ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายผลิต ซึ่งเธอได้ทำงานกับภาพยนตร์ไปกว่า 60 เรื่อง อาทิ หนังเด่นที่มีบทบาทบนเวทีรางวัลอย่าง Whiplash (2014) และ Get Out(2017) เธอยังเคยเป็น ผู้ประสานงานระหว่างสตูดิโอ/โปรดิวเซอร์ (Line Producer) ของแฟรนไชส์หนังระทึกขวัญ-สยองขวัญสุดฮิตอย่าง Paranormal Activity(2007-2015) และ Insidious(2010-2018) ที่ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างมหาศาล

            เธอยังเป็นหนึ่งในสองคนอเมริกันที่ได้รับการคัดเลือกให้ร่วมช่วยเปิดบริษัท Mill Filmของสองผู้กำกับชื่อดัง โทนี่ และ ริดลีย์สก็อตต์ ที่กรุงลอนดอน ในช่วงสองปีที่เธอทำงานที่นั่น เธอได้ดูแลงานด้านวิชวลเอฟเฟคให้กับภาพยนตร์อย่างLost InSpace (1998), Waking Ned (1998), Enemy Of The State (1998), Hillary And Jackie (1998) และ Still Crazy (1998)

            วอลตูร์ยังเคยทำงานที่ Sony Picturesในตำแหน่ง ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟกต์ในภาพยนตร์เรื่อง James And The Giant Peach (1996), Money Train(1995) และ Michael (1996)

อดัมกู๊ดแมน – ผู้อำนวยการสร้าง

          อดัมกู๊ดแมนเป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Invisible Narratives ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างผลงานโดยเน้นเจาะกลุ่มผู้ชมGen Zภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทนั้นมีชื่อว่า Crimson(2020) ที่ออกฉายทางInviz.TV แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของทางบริษัทเอง

            กู๊ดแมนเคยเป็นผู้ช่วยประธานฝ่ายผลิตที่Dreamworks ซึ่งเขาได้ดูแลโปรเจคTransformersภาคแรกที่ประสบความสำเร็จด้านการทำเงินบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศเป็นอย่างมาก เขายังได้อำนวยการผลิตแฟรนไชส์ฮิตเรื่องอื่นๆ อีกอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles(2014-2016), Mission Impossible (1996-2018), Paranormal Activity(2007-2015) รวมถึงภาพยนตร์สายคุณภาพชิงรางวัลอย่าง Selma (2014), The Wolf of Wall Street (2013), True Grit(2010) และNebraska(2013) และภาพยนตร์คลาสสิกในช่วงยุค 90 อย่าง Home Alone (1990), ThePelican Brief(1993) และ Get Shorty (1995)

แอนดรูว์ซูเจอร์แมน– ผู้อำนวยการสร้าง

            แอนดรูว์ซูเจอร์แมนเป็นผู้บริหารและผู้อำนวยการสร้างผลงานระดับโลกที่มีประสบการณ์อันกว้างขวางและยาวนานกว่า 20 ปี

ซูเจอร์แมนได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Invisible Narratives ร่วมกับ อดัมกู๊ดแมน โดยเป้าหมายของบริษัทคือการผลิตผลงานความบันเทิงสำหรับคนรุ่นใหม่ เน้นการสร้างกลุ่มผู้ติดตามบนโลกดิจิตอล ด้วยการสตรีมมิ่งทั้งภาพยนตร์, ซีรีส์, การถ่ายทอดสด ภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทนั้นมีชื่อว่า Crimson(2020) ที่ออกฉายทาง Inviz.TV แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของทางบริษัทเอง นำแสดงโดย Faze Rug ออนไลน์อินฟลูเอนเซอร์ที่มียอดผู้ติดตามมากกว่า 20 ล้านคน

ก่อนหน้านี้ซูเจอร์แมนรับตำแหน่งเป็นกรรมการสมทบในส่วนของสื่อดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ที่บริษัท Disneyซูเจอร์แมนมีหน้าที่ในการสร้างเครือข่ายแฟรนไชส์ต่างๆ ของดิสนีย์ให้เติบโตและต่อยอดไปในหลากหลายรูปแบบของแต่ละแพลตฟอร์ม เขายังดูแลธุรกิจเนื้อหาสิ่งพิมพ์ทั่วโลกของ Disney ซึ่งครอบคลุมถึงแฟรนไชส์ยักษ์ใหญ่อย่างStar Wars, Marvel และPixar

และก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่ดิสนีย์ซูเจอร์แมนยังได้ก่อตั้งบริษัทEnglish Live ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างและส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิตอลโดยมีการถ่ายทอดเนื้อหาการเรียนรู้ให้สมาชิกมากกว่า 11 ล้านคนจาก 100 กว่าประเทศทั่วโลก

อีเบน เดวิดสัน ผู้อำนวยการสร้าง

            อีเบน เดวิดสัน เกิดที่เมืองนิวยอร์ก เขาเริ่มต้นอาชีพในสายบันเทิงจากการทำงานด้านการตลาดในค่ายดนตรีColumbia Records จากนั้นจึงเบนเข็มสู่งานภาพยนตร์ด้วยการรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของ สก็อต รูดิน ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างชื่อดังจากเครดิตหนังขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง No Country for Old Men (2007), The Social Network (2010), The Truman Show (1998), Lady Bird (2017)

เดวิดสันทำงานที่ Paramount Picture อยู่นานกว่า 15 ปี ซึ่งเขารับตำแหน่งเป็นรองประธานอาวุโสของการซื้อและการผลิตภาพยนตร์ โปรเจคหนังที่เดวิดสันดูแลสามารถทำรายได้รวมกันมากกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง18 รางวัลออสการ์ผลงานหลักๆ ของเขา อาทิเช่น Arrival (2016), Florence Foster Jenkins (2016), Top Five (2014), Anomalisa (2015), Everybody Wants Some (2016), JackassPresents: Bad Grandpa (2013), Jackass 3D (2010), Justin Bieber: Nevery Say Never (2011), Katy Perry: Part Of Me (2012),Footloose (2011)

            หลังจากออกจาก Paramount Pictureเดวิดสันเข้าทำงานต่อที่Blumhouse Television ในตำแหน่งรองประธานบริหารดูแลรายการผลิต โดยเขาได้อำนวยการสร้างผลงานอย่างซีรีส์Into The Dark(2018– )ที่ออกฉายทางสตรีมมิ่ง Hulu และ The Purge ที่ออกฉายทางช่อง USA ล่าสุดเดวิดสันได้เข้าร่วมงานกับบริษัท Invisible Narrativesในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งเขาได้อำนวยการผลิตผลงานสองเรื่องเมื่อเร็วๆ นี้อย่าง Crimson (2020) ที่ออกฉายทาง Inviz.TV แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของทางบริษัทเองและ Songbird ที่เตรียมจะเข้าฉ

Facebook Comments
ติดต่อ Maganetthailand.com
Don`t copy text!