Dune: Part Two

ดูน ภาคสอง

แนว Action, Adventure, Drama

เข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ 2567

ผู้กำกับ Denis Villeneuve

นักแสดง Timothée Chalamet, Zendaya, Rebecca Ferguson

เรื่องย่อ

ตำนานการผจญภัยยังคงดำเนินต่อ เมื่อผู้สร้างภาพยนตร์เจ้าของรางวัล เดอนี วีลเนิฟว์ ร่วมงานในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง” ผลงานภาคต่อจากนิยายเรื่องดังของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท ดูน พร้อมด้วยทีมนักแสดงจากทั่วโลก ผลงานภาพยนตร์จากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส เป็นที่คาดหวังอย่างสูงจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง “ดูน” ปี 2021 ที่ได้รับรางวัล Academy Award ถึง 6 รางวัล

ตำนานความยิ่งใหญ่บนจอยักษ์เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากผลงานขายดีชื่อดังของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท ดูน พร้อมทั้งนักแสดงที่กลับมาร่วมงานและนักแสดงหน้าใหม่ รวมถึงทิโมธี ชาลาเมต์ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (“Wonka,” “Call Me by Your Name”) เซนเดย์อา (“Spider-Man: No Way Home,” “Malcolm & Marie,” “Euphoria”) รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน (“Mission: Impossible – Dead Reckoning”) จอช โบรลิน ผู้ชิงรางวัล Oscar (“Avengers: End Game,” “Milk”) ออสติน บัตเลอร์ ผู้ชิงรางวัล Oscar (“Elvis,” “Once Upon A Time…In Hollywood”) ฟลอเรนซ์ พิวห์ ผู้ชิงรางวัล Oscar (“Black Widow,” “Little Women”) เดฟ เบาทิสตา (ภาพยนตร์ “Guardians of the Galaxy”, “Thor: Love and Thunder”) คริสโตเฟอร์ วอลเคน เจ้าของรางวัล Oscar (“The Deer Hunter,” “Hairspray”) เลอา เซย์ดูย์ (ภาพยนตร์แฟรนไชส์ “James Bond” และ “Crimes of the Future”), โซเฮลลา ยาคูบ (“The Braves,” “Climax”) พร้อมด้วยสเตลแลน ซาร์สการ์ด (ภาพยนตร์ “Mamma Mia!”, “Avengers: Age of Ultron”) ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar ชาร์ลอตต์ แรมพลิง (“45 Years,” “Assassin’s Creed”) และฮาเวียร์ บาร์เดม เจ้าของรางวัล Oscar (“No Country for Old Men,” “Being the Ricardos”)

ภาพยนตร์ “ดูน: ภาคสอง” เป็นการสำรวจการเดินทางแห่งเทพนิยายของพอล อะเทรดีส เขาร่วมมือกับชานี่และเฟรแมนเดินทางล้างแค้น เผชิญหน้ากับผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำลายครอบครัวของเขา และต้องเลือกระหว่างความรักของเขากับชะตาชีวิตที่เห็นทุกสิ่ง เขาพยายามปกป้องเรื่องร้ายๆ ในอนาคตที่มีเพียงเขาหยั่งรู้ได้

วีลเนิฟว์กำกับผลงานจากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนร่วมกับจอน สเพทส์ โดยอิงจากนิยายของเฮอร์เบิร์ท อำนวยการสร้างฯ โดยแมรี่ แพเรนท์, เคล บอยเทอร์, วีลเนิฟว์, ทันยา ลาพอยท์ และ แพทริค แมคคอร์มิค อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยจอช โกรด, จอน สเพทส์, โธมัส ทัล, เฮอร์เบิร์ท ดับบลิว. เกนส์, ไบรอัน เฮอร์เบิร์ท, ไบรอน เมอร์ริตต์, คิม เฮอร์เบิร์ท, ริชาร์ด พี. รูบินสเตน และ จอห์น แฮร์ริสัน ที่ปรึกษาฝ่ายสร้างสรรค์โดยเควิน เจ. แอนเดอร์สัน

วีลเนิฟว์กลับมาร่วมงานกับผู้สร้างสรรค์เดิมจากเรื่อง “ดูน” ของเขา ได้แก่ ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัล  Oscar เกร็ก ฟราเซอร์; ผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Oscar แพทริซ เวอร์เม็ตต์; ผู้ลำดับภาพเจ้าของรางวัล Oscar โจ วอล์คเกอร์ ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัล Oscar พอล แลมเบิร์ท ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเข้าชิงรางวัล Oscar แจ็กเกอลีน เวสต์ ผู้ประพันธ์ดนตรีเจ้าของรางวัล  Oscar ฮานส์ ซิมเมอร์ ที่มาช่วยสร้างสรรค์บทเพลงอีกครั้ง

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก  A Legendary Pictures Production, A Film By Denis Villeneuve เรื่อง “ดูน: ภาคสอง” มีกำหนดฉายวันที่ 1 มีนาคม 2024 ฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปและระบบไอแมกซ์ทั้งในและต่างประเทศเริ่มวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2024 จัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส

ความต่อเนื่องจากเรื่องราวอันยิ่งใหญ่

            ภาพยนตร์ของเดอนี วีลเนิฟว์ เรื่อง “ดูน: ภาคสอง” สานต่อความเดิมจากเรื่องราวภาคแรก แต่ยกระดับประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ชม เพิ่มความอลังการของภาพที่น่าตื่นเต้นและฉากแอคชันอันยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยตัวละครใหม่อีกมากมาย การผจญภัยที่สนุกขึ้น รวมถึงเรื่องราวอันทรงพลังและความรักชวนฝัน

บรรยากาศในเรื่องคืออนาคตอีกหลายพันปีข้างหน้าของ “ดูน” เมื่อมาถึงเรื่อง “ดูน: ภาคสอง” ยังคงติดตามการผจญภัยในนิยายของพอล อะเทรดีส ชายหนุ่มที่ถูกชำตากำหนดไว้ว่าจะต้องต่อสู้กับพลังอำนาจ เขาคือลูกชายของผู้ควบคุมการสังหาร ดุค ลีโต อาทรีเส และผู้มีเวทมนตร์อย่าง บีน เกสเซริต เลดี้ เจสสิก้า พอลต้องพบกับการทดสอบใน “ดูน” เขาต้องเอาชนะความกลัวเมื่อโชคชะตาและพลังที่มองไม่เห็นนำพาเขาสู่หาดทรายบนดาวอันไกลโพ้นอย่างอาร์ราคิส 

ในเรื่องจะพบทั้งสิ่งที่เป็นอมตะและเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลานั้น ตั้งแต่ความรักสุดโรแมนติกและความรักที่มีต่อโลก ความซื่อสัตย์ การแก้แค้น และการระบายอารมณ์ ในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง” ของผู้เขียนฯ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ทได้เพิ่มประเด็นเกี่ยวกับมนุษย์ต่อสู้กับธรรมชาติโลก การต่อสู้สำคัญของเรื่องเป็นความขัดแย้งที่ไม่มีวันสิ้นสุดระหว่างพลังของความดีกับความชั่วร้าย

ฝั่งของความดีคือการจับมือกันระหว่างพอ อะเทรดีสกับเดอะ เฟรเมน สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์ ส่วนฝั่งชั่วร้ายคือเดอะ ฮาร์คอนเนน ที่แสดงออกชัดเจนถึงการโกง ความรุนแรง และความโลภ การบรรจบพบกันนั้นทำให้เจอกับเรื่องราวที่น่าสนใจ พอลได้พบกับความฉลาดของชานี่และพลังของสติลการ์ ได้รับความไว้ใจและการสนับสนุนจากชาวฟีเม็น ขณะที่พวกฮาร์คอนเนนยังคงออกปล้นทำลายหาดทรายของอาร์ราคิส ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความโกรธให้พวกเขาจนนำไปสู่สงครามอย่างเต็มรูปแบบ

การเข้าไปสำรวจในโลกอันน่าตื่นเต้นใบนี้ มีทั้งเรื่องการแย่งชิงแข่งขันไม่ต่างจากเดิม แต่มีการเสริมพลังแกร่งของผู้หญิงเข้าไปในเรื่อง “ดูน” ด้วย ชานี่, เลดี้ เจสสิก้า นักรบเฟรเมนผู้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น  แม่ใหญ่โมเฮียม ยังคงปรากฏตัวตั้งแต่ภาคแรกต่างเป็นเจ้าหญิงอิรูลาน ธิดาแห่งองค์จักรพรรดิ และเลดี้เฟนริง บีน เกสซีริตผู้ซื่อสัตย์ต่อฮาร์คอนเนน และหลงรัก เฟยด์-รอว์ธา หลานชายของบารอนผู้โหดร้าย

ในการพาผู้ชมเข้าสู่โลกของเฟรเมนอย่างลึกซึ้ง ต้องเดินทางเข้าสู่ดินแดนของบารอน เกดิไพรม์ และไปทำความรู้จักกับจักรพรรดิ์และโลกของเขา ได้พบกับผู้ควบคุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นครั้งแรก นักแสดงและทีมงานเดิมกลับมารวมตัวกันบนหาดทรายอันกว้างใหญ่ของอาบูดาบี จนถึงจอร์แดนและบูดะเปสต์ กองถ่ายได้เดินทางไปยังอิตาลีกันเป็นครั้งแรก

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวใน “ดูน: ภาคสอง”…

“เราหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจบเรื่อง “ดูน” โดยมีพอล เจสสิก้า อยู่กลางทะเลทรายพร้อมกับเดอะ เฟรเมน สติลการ์และชานี่เดินไปยังซีตช์ทาเบรอ พยายามหาที่พัก  เราเริ่มกันตรงที่พวกเขากำลังถูกพวกฮาร์คอนเนนซุ่มโจมตี”

การผจญภัยของพอลในเรื่องนี้…

“ในเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันระหว่างพอล คุณแม่ของเขาชื่อเจสสิก้า การเข้าสู่วัฒนธรรมเฟรเมนและเผ่าเฟรเมน ระหว่างนี้พอลและชานี่ต่างตกหลุมรักกัน เริ่มจับมือกันต่อสู้เหล่าผู้กดขี่และศัตรูของพวกเขา พอลเข้าใกล้ฝันร้ายมากขึ้น ซึ่งตรงกับคำทำนายตามที่เห็น และเกิดสงครามการต่อสู้ในนามของเขา”

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตัวพอล…

“พอลถูกทำร้ายจากการอยากแก้แค้นของตัวเอง และสัญชาตญาณอันแรงกล้าของเขาที่อาจพาเขาไปพบกับเหตุร้ายได้ การพยายามแก้แค้นพ่อของเขา เขาอาจทำให้เพื่อนๆ เดอะ เฟรเมน พบกับเรื่องวุ่นวายและสงคราม นับเป็นความลำบากใจที่เขาต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ต้องต่อสู้กับเหล่าศัตรูโดยที่ไม่ทำให้เข้าทางคำทำนายแบบพี่น้อง the เบเน เจสเซริต”

การร่วมงานกับทิโมธี ชาลาเมต์อีกครั้ง…

“นี่เป็นครั้งแรกของผมในฐานะผู้กำกับฯ ที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่เติบโตต่อหน้ากล้อง มีการพัฒนา และเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต มันสร้างความกระตือรือร้นให้ผมที่ได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้ง ได้เห็นความมั่นใจในตัวเขา ใน ‘ภาคแรก’ เขาได้เรียนรู้เรื่องการโฟกัสในกองถ่ายขนาดใหญ่ในฐานะนักแสดงนำ เขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในฉก และผมภูมิใจที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาบนหน้าจออย่างมีพลัง ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าเขาจะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของพอล อะเทรดีสจากเด็กคนหนึ่งสู่ตัวละครด้านมืดได้อย่างไร”

ตัวละครชานี่และมิตรภาพระหว่างเธอกับพอล เมื่อเขาได้เข้าสู่วัฒนธรรมเฟรเมนของเธอ…

“ในช่วงแรกชานี่หวาดระแวง แต่ก็สงสัยว่าเด็กผู้ชายคนนี้มาจากที่อื่น สิ่งที่สร้างความประทับใจให้ชานี่มากที่สุดคือความจริงใจของพอล เธอสัมผัสได้ว่าพอลอยากเรียนรู้วิถีต่างๆ ของเฟรเมน ชานี่ไม่ต่างจากวัยรุ่นเฟรเมนคนอื่น เธอไม่ศรัทธาในการจูงใจของ เบเน เจสเซริต และเรื่องศาสนามากนัก เธอเชื่อว่าเฟรเมนควรเป็นอิสระจากเฟรเมน ไม่จำเป็นต้องรอคนนอก เธอคิดว่าความเชื่อโบราณล้วนเป็นการควบคุมผู้คน แต่เธอเห็นว่าพอลไม่ได้ทำตัวเป็นผู้สร้างอาณานิคม เขาไม่อยากบงการอะไร ไม่อยากถูกมองว่าเป็นผู้กอบกู้ เขาอยากเอาชีวิตรอดเท่านั้น ซึ่งความจริงใจนั้นทำให้เธอประทับใจเขา เขาอยากแน่ใจว่าเขามีความพร้อมครบด้านที่จะรับสภาพของอาร์ราคิส และยิ่งเธอช่วยเขา เธอยิ่งรู้จักเขามาขึ้น จนค่อยๆ เริ่มเปิดใจตัวเอง”

การร่วมงานกับเซนเดย์อาอีกครั้ง…

“การร่วมงานกับเซนเดย์อาเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่ผมเฝ้ารอ เพราะผมแอบมองเธอไม่กี่วันใน ‘ภาคแรก’ ผมรอที่จะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น เพื่อสำรวจชานี่อย่างลึกซึ้งและถ่ายทอดตัวละครออกมาให้ดูมีชีวิตชีวา ซึ่งนับว่าเป็นนโชคดี ผมรักการร่วมงานกับเธอจริงๆ จากใจ เธอมีความอัศจรรย์ น่าทึ่ง เป็นนักแสดงที่ถ่ายทอดอารมณ์หลายมิติได้ชัดเจน การแสดงของเธอมีพลังและตรงตามต้องการมาก

การผจญภัยของเลดี้ เจสสิก้า…

“กรเป็นที่ยอมรับของเฟรเมน เลดี้ เจสสิก้าต้องเข้าพิธีที่จะเปลี่ยนเธอสู่แม่ใหญ่ นั่นหมายความว่าต้องจดจำทุกเรื่องราวของแม่ใหญ่คนก่อนๆ ผู้มีความสำคัญ เปี่ยมไปด้วยความรอบรู้และสติปัญญา แต่เราไม่สามรถเข้าพิธีนั้นได้หากตั้งครรภ์ ซึ่งนั่นหมายถึงตัวเธอเอง เธอจึงต้องดูแลชีวิตใหม่ที่กำลังเติบโตอยู่ในตัวของเธอ เลดี้ เจสสิก้ายิ่งมีพลังมากขึ้น แน่นอนว่าความเป็นเลดี้ เจสสิก้านั้น จะทำให้เธอใช้อำนาจปกป้องพอลและทำให้จุดประสงค์ของเธอที่ซ่อนเอาไว้ลุล่วงอย่างแน่นอน”

บทบาทของสติลการ์ในเรื่อง …

“สติลการ์เป็นตัวละครที่ดูน่าหดหู่ เขาเป็นผู้ชายที่สร้างชีวิตตัวเองขึ้นมา สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่เขาต้องการความช่วยเหลือจากคนนอก อยากหลีกหนีจากผู้กดขี่ เขาเดินทางมาจากอีกดาวหนึ่งทางใต้ที่ได้รับการปลูกฝังความเชื่ออย่างหนักแน่น ผมคิดว่าสิ่งทีเขาปรารถนาในตัวพอลยิ่งใหญ่เหนือความจริง ไม่ว่าพอลจะเป็นใครก็ตาม สติลการ์ต้องการให้เขาเป็นบุคคลนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องพลังแห่งศรัทธาและต้องมีพื้นฐานด้านศาสนา เพื่อจะทำความเข้าใจเรื่องความลึกซับซ้อนของชีวิต”

รากฐานวัฒนธรรมของเฟรเมน…

“วัฒนธรรมของเฟรเมนได้อิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก บรรยากาศระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมของอาร์ราคิส ที่นั่นเป็นดาวที่มีอุณหภูมิสูงมาก น้ำเปรียบเสมือนทองคำและหาได้ยากมาก สำหรับพวกเขาแล้วน้ำคือชีวิต น้ำคือทุกสิ่ง น้ำคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในภาพยนตร์เราจะเห็นว่าเมื่อมีใครเสียชีวิตลง พวกเขาจะสูบน้ำจากร่างกายไปใส่ในที่เก็บน้ำขนาดใหญ่ นำไปใช้รดน้ำต้นไม้ นั่นคือวิถีธรรมชาติที่จะช่วยให้เฟรเมนมีชีวิตอยู่รอดได้บนดาวแห่งทะเลทราย”

บทบาทของจักรพรรดิ์ในเรื่องนี้…

“จักรพรรดิคือผู้ชำนาญทางเทคนิคคนหนึ่งที่พยายามควบคุมกลุ่มดาว เหมือนกับรัฐบาลที่คอยควบคุมดูแลประเทศเป็นผู้ที่ไม่มีการประนีประนอมใด ในภาพยนตร์ภาคก่อนเขาได้ทำสิ่งที่ขัดกับธรรมชาติของตัวเอง คือการฆ่าเพื่อนคนหนึ่งโดยหวังอำนาจ เขาทำลายหัวใจตัวเองและเข้าสู่ด้านมืด นั่นคือความผิดที่เขาต้องแบกรับไว้ เขาคือมนุษย์คนหนึ่งที่แหลกสลาย”

คริสโตเฟอร์ วอลเคน ผู้ยิ่งใหญ่…

“จักรพรรดิคือตัวละครที่มีเอกลักษณ์ในเรื่อง และต้องกรนักแสดงที่ถ่ายทอดแรงดึงดูด ความละเอียดลึกซึ้ง และความสับสนที่มีในตัวละครนี้ออกมาได้ คริสโตเฟอร์ วอลเคนเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในหัวตอนที่ผมเขียนบท ผมโชคดีมากที่เขายอมเล่นบทนี้ พูดตามตรงเลยว่าตอนแรกผมรู้สึกอาย! แต่เขามีความโดดเด่น มีความงดงาม และใจดี ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นคริสโตเฟอร์ แม้เขาจะไม่อยู่บนหน้าจอ เขาก็มีความอ่อนโยนและอยู่เคียงข้างนักแสดงคนอื่น เขามีสปิริตสูงมากและผมรักการทำงานร่วมกับเขาจริงๆ”

ฟลอเรนซ์ พิวห์ ในบท เจ้าหญิงอิรูลาน…

“ผมจำครั้งแรกที่ได้พบกับฟลอเรนซ์เพื่อคุยเรื่องตัวละคร ดูว่าเธอเหมาะกับบทไหม และหลังผ่านไปไม่กี่นาทีผมบอกตัวเองว่า ‘ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่กับเจ้าหญิงอิรูลานแล้วล่ะ!’ ฟลอเรนซ์มีความกระตือรือร้น ความแกร่ง และมีไหวพริบแบบที่ผมรัก เหมาะกับอิรูลานอย่างลงตัว เธอคือหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญในเกมนี้ ผมไม่อยากให้เธอถูกมองว่าเป็นเหยื่อ เธอไม่ได้ถูกหลอกใช้ แต่พร้อมจะลงไปเล่นเกมนี้เพื่อรักษาอำนาจของครอบครัวเอาไว้”

การนำเฟย์ด-รอว์ธาสู่จอภาพยนตร์…

“การนำเฟย์ด-รอว์ธาสู่จอภาพยนตร์นับเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง เขาคือตัวละครหนึ่งที่มีความโดดเด่นในนิยาย  ดูน ผมรู้สึกโชคดีมากที่ออสติน บัตเลอร์มาร่วมงานด้วย เฟย์ด-รอว์ธาเป็นหลานของบารอน วลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน และออสตินต้องถ่ายทอดเขาออกมาในบทฆาตกรโรคจิต ที่เหมือนรวมร่างผู้ชำนาญด้านการใช้ดาบกับมิค แจ็คเกอร์ เขาถ่ายทอดความน่าทึ่งออกมาบนหน้าจอได้จริงๆ ผมภูมิใจกับเฟย์ด-รอว์ธาเวอร์ชันนี้จริงๆ และอดใจรอให้ทุกคนเห็นการแสดงของออสตินแทบไม่ไหวเลย”

เหตุผลเบื้องหลังการกระทำของเฟย์ด-รอว์ธา…

“เฟย์ดมีความทะเยอทะยานเป็นแรงผลักดัน นี่คือตัวละครที่เปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนา ไร้ความมีศีลธรรม เขาเหมือนคนโรคจิตเลยล่ะ”

การร่วมชะตากรรมระหว่างพอลและเฟย์ด…

“พอลและเฟย์ดพบว่าตัวเองอยู่ในจุดสำคัญของเรื่อง ช่วงจังหวะที่มีเพียงหนึ่งเดียวจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทั้งคู่ต่างได้รับการเลี้ยงดูจาก เบเน เจสเซริต ต่างมีความสามารถกันทั้งคู่ ผมพูดได้เลยว่าทั้งคู่ต่างมีพลังแข็งแกร่ง เป็นนักสู้ที่เข้มแข็ง มีความเฉลียวฉลาด ต่างเป็นกระจะสะท้อนกันเอง เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันดี สุดท้ายอาจไม่มีใครชนะใครเลยก็ได้”

ช่วงที่พบกับบารอน ฮาร์คฮาร์คอนเนนในเรื่องนี้…

“บารอนรอดชีวิตจาก ‘ภาคแรก’ มาได้ แต่เขากลายเป็นบารอนที่อ่อนแอลง ในภาคนี้เขาพร้อมจะมอบพลังให้กับหลานชายที่คิดถึงเรื่องของอนาคต เพื่อการมีชีวิตรอดต่อไป เขาต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจจากภายนอกเพื่อต่อชีวิตของเขา นับเป็นเรื่องสนุกที่ได้นำสเตลแลนกลับมา เขาบอกผมเสมอว่าคิดถึงชุดนั้น คิดถึงตัวละคร และดีใจมากที่ได้กลับมา ความกระตือรือร้นของเขามีความหมายต่อผมมาก”

การกลับมาอย่างไม่คาดฝันของเกอร์นีย์ ฮอลเล็ค…

“ผมดีใจมากที่เกอร์นีย์ ฮอลเล็คหายตัวไปท่ามกางสงครามที่วุนวายใน ‘ภาคแรก’ เราได้เห็นเขาหายตัวไปช่วงกลางดึกระหว่างการต่อสู้กับฮาร์คอนเนน และเราไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย แต่เขารอดชีวิตมาได้พร้อมกับทหารของอะเทรดีส 2-3 นาย พรางตัวอยู่ในทะเลทราย จากนั้นเขาส่งผู้คนส่วนใหญ่กลับสู่บ้านคาลาแดน แต่ตัวเขาเองมีความจงรักภักดีสูง เขาเลือกที่จะอยู่ที่อาร์ราคิสเพื่อแก้แค้นดุคกับเพื่อนของเขา เขารอเวลาที่เหมาะสม โอกาสที่เอื้อต่อการโมตีแรบแบน”

การร่วมงานกับจอช โบรลินอีกครั้ง…

“จอชคือเพื่อนคนหนึ่ง การดึงเขากลับมาร่วมงานด้วยจึงมีแต่ความสนุก ได้สำรวจตัวละครกันมากขึ้น รวมถึงมิตรภาพระหว่างเขากับพอล รวมไปถึงได้เห็นแรงจูงใจของเขาที่แจริง ผมภูมิใจมากที่จอชมาถ่ายทอดบทเกอร์นีย์บนหน้าจออีกครั้ง”

การกลับมาของรีเบคก้า เฟอร์กูสัน, เดฟ บาวทิสต้า และ ชาร์ล็อตต์ แรมพลิง …

“รีเบ็คก้า เฟอร์กูสันมีหลายสิ่งในบทบาทให้ถ่ายทอดออกมาใน ‘ดูน: ภาคสอง’ เธอรับบทเลดี้ เจสสิก้า คุณแม่ผูสามารถพูดออกมาได้ผ่านทางความคิดกับลูกที่อยู่ในท้อง เธอมีเสียงจากอดีตคอยชี้นำ และเธออยากให้ลูกชายขึ้นเป็นกษัตริย์ เธอพร้อมทำทุกทางเพื่อสนองต่อความปรารถนา เธอมีพลังที่แข็งแกร่งและโหดร้ายสุดในเรื่อง เป็นนักเล่นหมากรุกที่น่ากลัว ซึ่งรีเบ็คก้าถ่ายทอดออกมาได้อย่างตรึงใจ”

“เดฟก็เก่งมาก เราใช้เวลาร่วมกับบีสต์ แรบแบนมากขึ้น ขอบอกว่าเขาไม่มีช่วงเวลาแห่งความสุขใน ‘Part Two!’ เลย  เขาต้องเสียเกียรติและต่อสู้กับเฟรเมน เราจะเห็นว่าตัวละครนี้เดินทางมาถึงลิมิตของเขาแล้ว จนหวาดกลัวและหมดทางควบคุมอาร์ราคิสได้”

“ชาร์ล็อตต์ แรมพลิงกลับมารับบทแม่ใหญ่ โมเฮียม หนึ่งในตัวละครที่มีความโหดหเหี้ยมผู้อยู่เบื้องหลังทุกแผนการในเรื่อง หนึ่งในตัวละครสำคัญทางเกมการเมืองและเป็นเหมือนผู้คุมหุ่นเชิด สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในเรื่อง ดูน คือการที่พี่น้องรวมตัวกันเพื่อพลังทางการเมือง มีการใช้อุบายอันแยบยล และผมตื่นเต้นที่ได้นำชาร์ล็อตต์หวนสู่หน้าจออีกครั้ง”

นักแสดงหน้าใหม่ เลอา เซย์ดูซ์ ในบท เลดี้ มาร์กอต เฟนริง และ ซูเฮลา ยาคอบ ในบท ชิชาคลี …

“เลอา เซย์ดูซ์รับบทเลดี้ เฟนริง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีความลึกลับมากใน ‘ภาคสอง’ เธอคือพี่น้องของบีน เกสซีริตผู้มีพลังมหาศาล ผมไม่อยากบอกอะไรเกี่ยวกับเธอมากนัก อยากให้ผู้ชมได้รู้จักกับเธอเอง ฉะนั้นผมขอเก็บความลับนั้นคงอยู่ต่อไป แต่ผมขอบอกว่าการร่วมงานกับเลอาสนุกมาก เธอเป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบมานานแล้ว นับเป็นความพิเศษมากที่ได้ร่วมงานกับเธอ”

“[ผู้กำกับแคสติ้ง] ฟรานไซน์ เมสเลอร์พาซูเฮลามาหาผม เธอมีความน่าทึ่งมาก เป็นนักแสดงหญิงจากแอฟริกาใต้ที่มีความโดดเด่น เธอมีความเป็นเฟรเมนสำหรับผมมาก เธอถ่ายทอดพลังนั้นสู่หน้าจอได้ และเธอก็ค้นพบมันอย่างงดงาม”

การร่วมงานกับ โรเจอร์ หยวน ผู้ควบคุมด้านการต่อสู้ และ ลี มอร์ริสัน ผู้ควบคุมด้านการแสดงผาดโผน สำหรับการออกแบบท่าทางการต่อสู้และฉากผาดโผนในเรื่อง…

“โรเจอร์ หยวน เป็นผู้ควบคุมด้านการต่อสู้ใน ‘ภาคแรก’ และทำหน้าที่อีกครั้งใน ‘ภาคสอง’ เขามีความรู้ด้านการต่อสู้และการโจมตีหลายแบบ เขาออกแบบท่าการต่อสู้หลายแบบสำหรับเฟรเมน ฮาร์คอนเนน อะเทรดีส และซาร์ดาวคาร์ ทุกคนจะมีแนวการใช้ดาบหรือดาบสั้นในแบบของตัวเอง โรเจอร์ช่วยให้เรารู้ว่าโล่ในการต่อสู้เป็นแบบไหน และมีวิธีการต่อสู้ด้วยพวกมันอย่างถูกต้อง เขายังเล่นกับตัวละครแลนวิลล์ที่ต้องเผชิญหน้าในเรื่องนี้ครั้งใหญ่ด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดีมากที่ได้ร่วมงานกับเขาลึกซึ้งมากขึ้น”

“ผมคงสร้างหนังเรื่องนี้ไม่ได้หากไม่มีลี มอร์ริสัน! เขาช่วยพวกเราทุกเรื่องเลย ตั้งแต่ฉากขี่หนอนทราย ไปจนถึงการแสดงผาดโผนที่ต้องอาศัยเทคนิคและพวกลวดสลิงที่ต้องใช้เทคโนโลยีพิเศษ”

การสร้างฉาก ขี่หนอน ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาในเรื่อง…

“ในหนังสือ ขี่หนอน… เป็นแบบนั้นตรงตัวเลย! มันคือความเจ๋งที่สุดอย่างหนึ่ง เฟรเมนมีเทคนิคในการขี่หนอน และใช้พวกมันเป็นพาหนะ แต่ในหนังสือจะเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย ผมสร้างคำนิยาม คิดตรรกะ และเทคนิคขึ้นมาด้วยตัวเองว่าจะขึ้นไปอยู่บน  sandworm ได้อย่างไร ผมเขียนและวาดเทคนิคนั้นขึ้นมา มีภาพพร้อมคำอธิบายทีมงานด้วยว่าเฟรเมนจะขี่มันอย่างไร เพราะผมอยากให้มันดูสมจริงที่สุด ผมอยากถ่ายทำในสภาพแสงจริง และใช้โครงสร้างของสิ่งที่ดูแล้วเหมือนหนอน การทำงานใช้เวลา 2-3 เดือน มีการทดสอบและผิดพลาดในการถ่ายทำมากมาย ถ้าผมทำเองตอนนี้ก็คงยังถ่ายทำกันอยู่! ต้องอาศัยการควบคุมของทันย่า ลาพอยท์ ผู้กำกับกองย่อยที่ช่วยควบคุมประสานงานไปพร้อมกับผม มันต้องอาศัยความอดทนสูงมาก นับว่าเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นฉากที่มีความซับซ้อนตั้งแต่ผมถ่ายทำมาเลย”

การร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก แพทริซ เวอร์เม็ต์ ผู้กำกับภาพ เกร็ก ฟราเซอร์ ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ พอล แบมเบิร์ท และ ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ เกิร์ด เนฟเซอร์ เพื่อสร้างเนื้อเรื่องและวิชวลให้มีชีวิตสีสันในรูปแบบใหม่เต็ฒตัว …

“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ในจักรวาลและเรื่องราวที่ผมได้กลับเข้าไปเยือนอีกครั้ง้ โดยครั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ผมระวังมากคือต้องแน่ใจว่าผู้ชมจะไม่รู้สึกว่ามันดูซ้ำซากจำเจ ผมอยากหาสถานที่ใหม่ๆ ฉากใหม่ๆ เราจะไม่ย้อนกลับไปหาจุดที่ตัวละครผ่านมาแล้ว แพทริซช่วยออกแบบพาหนะคันใหม่ บรรยากาศใหม่ เขามีแรงจูงสูงมาก ความงดงามจาก ‘ภาคแรก’ คือทุกคนรู้ขอบเขตและโทนสีเป็นอย่างดี ซึ่งเราไม่อยากจะย้ำเรื่องเหล่านั้นอีก แค่ใช้ภาษาเฉพาะที่ทดสอบกันมาจาก ‘ภาคแรก’ และแพริซก็มีความสร้างสรรค์กว่าเดิมมาก เขาทำให้ผมทึ่งกับสิ่งที่ถ่ายทอดออกมา ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากคือถ้ำของนก มันเหมือนหินที่แกะสลักและมีนกทำรังอยู่ในนั้น มันคือที่พักของเฟรเมนและผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ต้องใช้พรสวรรค์ เป็นฉากหนึ่งที่งดงามมากเท่าที่ผมเคยเห็นมา”

“ผมคงสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้หากไม่มีเกร็ก! เกร็กเป็นคนที่เก่งเรื่องการทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน และต้องรับผิดชอบงานหลายด้านในเวลาเดียวกัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่มีความแข็งขันมากสำหรับผม ในเรื่อง ‘ภาคแรก’ เราต้องถ่ายฉากธรรมชาติ นอกอวกาศ และทะเลทรายสำหรับจอไอแมกซ์ แต่ทะเลทรายเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในเรื่องนั้น สำหรับ ‘ภาคสอง’ ส่วนใหญ่จะใช้เทคนิคเหมือนอยู่ในทะเลทราย ผมเลือกที่จะถ่ายทำเกือบทั้งเรื่องให้เหมาะสำหรับไอแมกซ์ เพื่อพื้นที่ขนาดใหญ่และดื่มด่ำประสบการณ์ได้เต็มที่ เกร็กเป็นปรมาจารย์ด้านฟอร์แม็ตนั้น เราใช้ความพยายามอย่างสูงในการถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของทะเลทราย รวมถึงการเดินอยู่บนอาร์ราคิส ผมยังรักการทำงานของเขาที่ใช้แสงจากธรรมชาติด้วย  เราเคยทำแบบนี้มาแล้ว แต่ครั้งนี้เรามีการทดลองบางอย่างเพิ่มขึ้น เช่น แสงธรรมชาติบนเกดิไพรม์ ควรเป็นอย่างไร? ที่นั่นเป็นโลกที่ไม่มีอะไรแตกต่างเลย มีแต่ความแข็งกระด้าง มีแต่สีดำและขาว ตั้งใจว่าจะไม่ให้โลกใบนี้มีสีอะไรเลยและอยู่ใต้แสงอาทิตย์ การถ่ายทำที่มีเพียงสีดำและขาวคือไอเดียของผมที่เกร็กรัก เขาใส่ฟิลเตอร์อินฟราเรดลงไปเพื่อสร้างสีดำและขาวที่ดูน่ากลัว ทำให้ผิวหนังและดวงตาของตัวละครมีความพิเศษเฉพาะตัวมาก การใช้แสงที่ให้ความรู้สึกสมจริงในแบบที่ผมรักคือเรื่องที่น่ากลัวมาก”

“ผมพยายามถ่ายทำจริงให้ได้มากที่สุด แต่มันก็ดูจะไม่ยุติธรรมนักหากไม่พูดถึงความยิ่งใหญ่ที่พอล แลมเบิร์ทสร้างเอาไว้ ผมไม่คิดว่าจะสร้างหนังได้หากไม่มีพอล เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทมาก เหมือนพี่น้องที่ร่วมสร้างสรรค์สำหรับผมเลย เขาคือคนที่สร้างความมั่นใจว่าจะนำจินตนาการและความฝันของผมสู่จอภาพยนตร์ได้ มีหลายอย่างที่เราถ่ายทำบนหน้าจอได้ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ของ sandworms กับกองทัพซาร์ดาวคาร์ล่ะ?  มันคือลิมิตของผมแล้ว ตอนนั้นล่ะที่ผมต้องการความอัจฉริยะของพอลที่สุด”

“และในฐานะผู้กำกับฯ ผมรักการถ่ายทำจริงด้วยกล้องที่สุด แต่แน่นอนว่าในหนังแบบนี้มันมีลิมิตในการถ่ายทำด้วยกล้อง แต่สำหรับเกิร์ด เนฟเซอร์ ผมรู้ว่าเขาจะผลักดันลิมิตนั้นออกไปได้อีกไกลมาก เช่น ฉากที่มี ลูกหนอนทะเลทราย ผมไม่อยากเล่าอะไรมาก แต่การที่จะเห็นหนอนขยับตัวใต้ทรายได้ เราเลือกที่จะถ่ายทำจริง และเกิร์ดใช้ระบบติดตามที่มีความซับซ้อน ใช้พรมปูใต้ทรายเพื่อสร้างภาพให้เหมือนหนอนขยับตัวใต้ทราย เขายังผลิตหนอนโดยสร้างแท่นบนวงแหวนที่จะออกแบบการเคลื่อนไหวพิเศษขึ้นมาได้อย่างที่ผมต้องการ มันค่อนข้างยากมาก นั่นคือ 2 สิ่งจากอีกหลายสิ่งที่เกิร์ดสร้างขึ้นมา เขายังมีความเป็นนักมายากลอยู่ในตัวอีกด้วย”

การร่วมงานอีกครั้งกับผู้ลำดับภาพ โจ วอล์คเกอร์…

“หนึ่งในผู้ร่วมงานที่สนิทมากของผมคือโจ วอล์คเกอร์ เขาเป็นคนที่ผมใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด! สิ่งที่ผมรักในตัวเขาคือการทุ่มเทกับซาวด์มากเท่ากับที่เขาทำงานด้านภาพ มีหลายส่วนที่เราต้องประสานงานร่วมกัน ทั้งในส่วนซาวด์ แผนภาพสำคัญในการวางให้ตรงตามการตัดต่อของผู้กำกับฯ ตอนสุดท้าย เราร่วมงานากันครั้งแรกในเรื่อง Richard King ผลงานมาสเตอร์และซาวด์ถูกมิกซ์โดยรอน บาร์เล็ตต์ และ ดั๊ก เฮมฟิล ซึ่งเป็นผู้ชำนาญในการปลุกเสียงดนตรีให้มีชีวิต ผมเฝ้ารอที่ผู้ชมจะได้ยินเสียงว่าตอน sandworms โกรธจะเป็นแบบไหน!”

การร่วมงานอีกครั้งกับฮานส์ ซิมเมอร์สำหรับการประพันธ์ดนตรี …

“ฮานส์และผมต่างมีความหลงใหลแบบเดียวกัน มีอดีตร่วมกับหนังสือตอนเป็นเด็กเหมือนกัน ฮานส์เป็นศิลปินคนแรกที่ร่วมงานกับผมใน ‘ภาคแรก’ และเขาเป็นคนแรกที่มาร่วมงานกับผมใน ‘ภาคสอง’ ช่วง 6 เดือนหลังจาก ‘ดูน’ ออกฉาย ตอนนั้นเขายังแต่งเพลงอยู่และยังแต่งเพลงให้เรื่องนั้น! ผมได้รับเพลงจากเขาและพูดว่า ‘ฮานส์ ตอนนี้หนังฉายในโรงแล้ว คุณยังส่งเพลงให้ผมอยู่เลย’ เขาตอบว่า ‘ใช่ๆ แต่นั่นสำหรับคุณเลยนะ ผมอยากให้คุณเกิดแรงบันดาลใจสำหรับ “ภาคสอง” ตอนนี้ผมหยุดไม่อยู่แล้ว! แค่ฟังเพลงมันก็สร้างแรงบันดาลใจให้ตอนที่เราแต่งเรื่องนี้แล้ว”

เพลงใหม่สำหรับเรื่องนี้ที่ฮานส์ ซิมเมอร์เป็นผู้แต่ง…

“ฮานส์เริ่มแต่งทำนองขึ้นมาอีกครั้ง โดยทำการศึกษาข้อมูลและเจาะลึกโลกของฮาร์คอนเนนมากขึ้น ผมอยากให้เขาแต่งเพลงสำหรับเฟย์ด-รอว์ธาและฮาร์คอนเนนด้วย รวมถึงจักรพรรดิด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญสุดคือผมอยากให้เขาแต่งเพลงที่ยากจะลืมเลือนสำหรับชานี่ ดนตรีแนวรักของพอลสำหรับชานี่ ผมอยากได้อะไรที่รู้สึกว่าใจสลาย และเป็นแนวเพลงรักที่เพราะสุดตั้งแตเคยแต่งมา พูดตามตรงผมคิดว่เขาทำได้ นับเป็นหนึ่งในเพลงที่เพราะมากที่เขาเขียนมา ผมจำตอนที่ฟังเพลงได้เลยว่าผมถึงกับน้ำตาไหล”

ความคาดหวังของเขาที่มีต่อความรู้สึกของผู้ชมในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“ผมหวังว่าผู้ชมจะอินไปกับมิตรภาพระหว่างพอลและชานี่ ใน ‘ภาคสอง’ สิ่งสำคัญคือเรื่องราวความรัก และผมหวังว่าความผู้ชมจะเข้าใจความรู้สึกว่าการขี่ sandworm เป็นอย่างไร!  มันเป็นประสบการณ์ตื่นเต้นและเป็นพาหนะที่เสี่ยง เกมหมากรุกระหว่างพอลและเฟรเมน ฮาร์คอนเนน อาณาจักรที่สร้างการต่อสู้ครั้งใหญ่และเกมทางจิต รวมถึงฉากต่อสู้ที่น่าทึ่งมาก! ขนาดของ  ‘ดูน: ภาคสอง’ คือสิ่งที่หวังว่าจะทำให้ทุกคนทึ่งกับพลังของมันเมื่อดูในโรงภาพยนตร์ บนจอยักษ์และคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างพลังในการดื่มด่ำกับภาพยนตร์ที่สุด!”

นั่งพูดคุยกับนักแสดง

— ทิโมธี ชาลาเมต์ —

พอล อะเทรดีส

บุตรชายของท่านดยุคผู้เกิดมาพร้อมชะตาชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าเชื้อพระวงศ์ ตอนนี้พอลต้องพบกับการผจญภัยครั้งใหญ่ที่จะพาเขาเดินทางข้ามจักรวาลสู่อาร์ราคิสที่ดูโหดร้าย ที่นั่นมีอันตรายรออยู่ทุกด้าน เขายังต้องรับมือกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ในตัวเอง คุณพ่อของเขาและผู้เป็นต้นแบบอย่างท่านดยุคลีโต้ พี่ชายของเขาและเพื่อนสนิทดันแคน อิดาโฮ ที่ปรึกษาและคุณครูของเขาเกอร์นีย์ ฮอลเล็ค พอลอยากล้างแค้นกับฮาร์คอนเนนที่เอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา ในภาคแรกเราได้เห็นพอลมีพลัง ส่วนในภาคนี้มีการเดิมพันสูงขึ้นกว่าเดิม เพราะจะได้เห็นว่าเขามีความสามารถขนาดไหน

ส่วนคุณแม่ของเขาเจสสิก้าผู้รอดชีวิตมาพร้อมกับเขา ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งจะพรากเธอไปจากลูกชาย แต่ภาพของความรักที่เขาเห็นในความฝันเกี่ยวกับชานี่ตอนนี้ตรงกับความจริงมาก การร่วมมือกันเป็นหนึ่งกับนักรบผู้มีความกล้าหญนี้ทำให้พอลได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรก ตอนนี้ชานี่ทั้งครองหัวใจของเขาและอยู่เคียงข้างเขา พอลต้องได้รับการยอมรับจากเฟรเมน เผชิญหน้ากับความกลัว และเผชิญหน้ากับศัตรูที่โหดเหี้ยมที่สุด เพื่อแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขา ปกป้องชาวอาร์ราคิสและใช้ชีวิตตามชะตาลิขิต

การหวนกลับมาสู่โลกของ “ดูน” ในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“มันเหมือนกับความฝันที่ได้หวนกลับมาสู่โลกของ ‘ดูน’ ไม่ใช่แค่การได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนนักแสดงที่ผมมีประสบการณ์ที่ดีจากภาคแรก แต่ยังได้เห็นเรื่องราวของตัวละครมากขึ้น เช่น ชานี่ ได้ร่วมงานกับนักแสดงหน้าใหม่ที่มีความสามารถ เช่น ออสติน บัตเลอร์ และ ฟลอเรนซ์ พิวห์ ที่ผมเคยร่วมงานในภาพยนตร์มาแล้ว แน่นอนว่ารวมถึงการได้เห็นเดอนีถ่ายทอดจินตนาการของเขาออกมาอย่างมีชีวิตชีวาด้วย”

จุดสานต่อของ “ดูน: ภาคสอง” จากภาคแรก…

“ในเรื่อง  ‘ดูน: ภาคสอง’ จะเป็นเรื่องราวต่อจากตอนจบของภาคแรกเลยทันี บางทีอาจจะหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง พอลและเจสสิก้าคือเฟรเมน พร้อมมีชานี่ที่อยู่ภายใต้การนำของสติลการ์ และจะเห็นการรุกรานฮาร์คอนเนน เดอนียังคงสร้างโลกขึ้นมา เราได้เข้าไปสำรวจอาณาจักร ฮาร์คอนเนน ซาร์ดาวคาร์ อะเทรดีส และเฟรเมน”

การผจญภัยของพอลในเรื่อง…

“สำหรับพอล อะเทรดีสในเรื่องนี้ เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่อยากยอมรับชะตากรรมตัวเอง ทั้งภารกิจ หน้าที่ความรับผิดชอบ ที่จะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่กว่าที่เขาจะรับมือไหว นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะทำ มันทำให้เขาต้องทุ่มเทมากเกินไป ตอนนี้เขาต้องการความรักและอยากได้ความรักจากชานี่ แทนการรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ และเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคแรก เขาต้องต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อจะกลายเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีคุณพ่อหรือผู้เป็นพ่อต้นแบบ ไม่มีเพื่อนและครอบครัว เขาถูกฮาร์คอนเนนลบล้างอย่างสิ้นเชิง  และรวมถึงความหมายของการเป็นคนนอกแต่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าจะด้วยโชคชะตาของผู้คนในการเป็นผู้นำก็ตาม”

พัฒนาการของพอลในเฟรเมน…

“พอลดูจะเจริญรอยตามเส้นทางที่เข้าฝืนใจ เขายังคงมีภาพในจินตนาการแต่เป็นภาพไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับการทำลายล้าง เขาไม่อยากไปที่ไหนใกล้พวกเขา ยิ่งเขามีความเป็นเฟรเมนมากขึ้น เขายิ่งกลายเป็นมอด’ดีบ ชื่อที่เขาเลือกสำหรับหนูทะเลทรายที่อยู่ในอาร์ราคิส นี่คือตอนหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมาก รวมถึงในภาพยนตร์ด้วยเพราะเรามักจะเห็นสิงโต เสือ หรือชีตาห์เป็นสัตว์ที่สื่อถึงความเป็นผู้นำฮีโร่ของเรา แต่นี่เป็นหนูทะเลทรายขนาดเล็กที่ต้องรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ เหมาะกับผู้ชายคนนี้ที่อยู่ในบรรยากาศที่เขายากจะจัดการ เรื่องราวในชีวิตของเขาเป็นเรื่องน่าเศร้า เขาต้องสูญเสียพ่อและผู้คนของเขาไป แต่เขาต้องพยายามรับมือกับมัน เขาไม่ใช่พอลผู้มีจิตใจกล้าแกร่งหรือพอลหัวใจสิงโต แต่เป็นพอล มอด’ดีบ  มีบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ถึงพลังนั้นเสมอ”

การยอมรับในโชคชะตาของพอล…

“พอลต้องฝืนใจ เขาไม่ใช่คนที่หลงผิดในความสง่าและพลังอำนาจ ผมต้องคิดว่ามันจะเป็นแบบไหนหากนั่นคือชะตาชีวิตจริงของเรา? เราจะยืนอยู่กลางห้องและบอกว่าตัวเองเป็นผู้นำ และพร้อมทำสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร? มันจะมีทางหลีกเลี่ยงได้อย่างไร?”

การกลับมาร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์อีกครั้ง…

“ในฐานะนักแสดงอย่างน้อยความสัมพันธ์กับผู้กำกับฯ คือสิ่งที่สำคัญมาก เดอนีเป็นผู้นำที่น่าทึ่งมาก เขายังเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อน ผมเคยถ่ายทำเรื่อง ‘Wonka’ ตอนที่เราเริ่มงานกัน และเขาช่วยให้ผมกลับมาหาบทพอล เพราะเดอนีมีความหลงใหลในเรื่องความสมจริง การอยู่ในบรรยากาศที่เขาและทีมออกแบบสร้างขึ้นมามันช่วยได้เยอะ ทำให้ผมสัมผัสความรู้สึกของภาระและความกดดันของพอลได้”

พอลและคุณแม่ของเขา เลดี้ เจสสิก้า รับบทโดยรีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน ที่ออกผจญภัยในเรื่องนี้…

“เลดี้ เจสสิก้าทุ่มเททั้งพลังกายและใจอย่างมากในหนังเรื่องนี้ และเธอก็รอดชีวิตมาได้ หากเธอไม่ถูกวงจรนี้สังหาร ก็คงจะได้เห็นภาพว่าพอลเป็น ‘บุคคลนั้น’ เธอยังต้องอุ้มลูกน้อยด้วย เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นและไหวพริบ รีเบ็คก้าสร้างผลงานที่น่าทึ่งอีกครั้งในการสร้างตัวละครนี้ขึ้นมา มันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแสดงของเธอ ซึ่งต่างจากผลงานที่เธอเคยสร้างไว้ในภาคแรกและน่าประทับใจมาก”

การเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างพอลกับชานี่…

“ชานี่เหมือนผู้นำด้านศีลธรรมของพอล จริยธรรมอันเข้มแข็งทำให้เธอเป็นตัวละครที่ดีมก พอลรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับเธอ เขามีคุณค่าและมีจริยธรรมในตัว เขาพยายามจะเป็นเพื่อนร่วมทางของเธอ เขาอยากเป็นเหมือนเธอ และพวกเขาได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ชานี่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เธอรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และความรู้สึกของเธออยู่ในจุดที่ลงตัวแล้ว”

การร่วมงานกับเซนเดย์อาอีกครั้ง…

“เซนเดย์อามีความแกร่งเหมือนชานี่ในหลายด้าน เราได้ร่วมงานกันไม่กี่วันในภาคแรก แต่กลับเป็นเพื่อนสนิทกันหลังจากนั้นได้ ผมคิดว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเรื่องช่วยพอลกับชานี่ในภาคนี้ได้ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีในการร่วมงานกับนักแสดงที่สร้างความกระตือรือร้นให้ได้ตลอดเวลา! เธอพร้อมร่วมหัวจมท้ายและโชคดีมากที่เรามีประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน”

การร่วมงานกับฟลอเรนซ์ พิวห์อีกครั้ง…

“ในหนังเธอดูน่าทึ่งมากครับ เธอแสดงความโหดลงไปในบทได้อย่างเกินคาด การร่วมงานกับเธอสร้างแรงบันดาลใจมากเลยครับ”

ออสติน บัตเลอร์ ในบท เฟย์ด-ราวธา ฮาร์คอนเนน…

“ผมไม่อยากหลุดเล่าถึงสิ่งที่เกิดในหนัง แต่ผมบอกได้ว่าออสติน บัตเลอร์เป็นเฟย์ด-ราวธาได้เกินคาดาก ผมหมายถึงแบบนั้นจริงๆ”

การฝึกซ้อมฉากต่อสู้ร่วมกับออสติน บัตเลอร์ในเรื่อง…

“การฝึกซ้อมเริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรก ผมเริ่มซ้อมท่าต่อสู้ที่ลอสแองเจลิส ผมคิดว่าออสตินอยู่ที่บูดะเปสต์แล้ว เมื่อผมเดินทางไปถึงที่นั่นเราก็เริ่มการต่อสู้กันเลย เขาทุ่มเททั้งการเป็นเพื่อนร่วมฉากและคู่ต่อสู้ เขาไม่ใช่แค่นักแสดงที่เก่ง แต่ยังทุ่มเทการทำงานอย่างหนัก เขาใส่ใจการทำงานจริงๆ และฉากทั้งหมดดูยิ่งใหญ่อลังการอย่างไม่มีอะไรเทียบได้เลย”

ฉากขี่หนอนความสำคัญในเรื่อง…

“ฉากหนอน ฉากที่ 62! ถ่ายทำกันเกิน 3 เดือน ในฉากมีแต่หนอนแบบที่ ทันยา ลาพอยท์ ผู้อำนวยการสร้างฯ และผู้กำกับกองย่อยของเราหลงใหลมันมาก มันเป็นช่วงเลาที่พอลเข้าสู่โลกของเฟรเมน เขาต้องยอมรับมันมากกว่าชานี่และสติลการ์ การสร้างให้ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก มันมีความซับซ้อน พอลได้เรียนรู้การขี่มันเรื่อยๆ มันเหมือนยานพาหนะและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พอลได้รับการยอมรับจากเฟรเมน เพราะผู้ที่ไม่ใช่ Shai-Hulud ในภาษาเฟรเมนสำหรับ  sandworm จะต้องตายอย่างอนาถ ซึ่งพอลไม่เป็นแบบนั้น เขาสามารถขี่หนอนได้”

การเรียนรู้ชาโคบซา ภาษาเฟรเมนในภาพยนตร์…

“สำหรับผมในฐานะนักแสดง มันคล้ายกับการเรียนเกี่ยวกับเช็คสเปียร์ตอนไฮสคูล ต้องใช้ความพยายามมาก ตอนแรกจะรู้สึกเสียเวลา แต่พอเราเข้าใจดีแล้ว มันเหมือนส่วนสำคัญในการแสดง ภาษาที่สร้างขึ้นในเรื่องนี้ เรามีครูสอนด้านภาษาเฉพาะที่เก่งอย่างฟาเบียน เอ็นจัลริค เขาเคร่งเรื่องการออกเสียงมาก มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในฐานะนักแสดง ที่ได้มีบทพูดในภาษาที่ไม่มีอยู่จริง”

— เซนเดย์อา —

ชานี่

นักรบเฟรเมนผู้มีอำนาจและทักษะความสามารถด้านการเอตัวรอดในทะเลทรายอันโหดร้ายของอาร์ราคิส ชานี่ใส่ใจผู้คนของเธอ และธรรมชาติที่อยู่รายล้อมพวกเขา การได้เห็นความงดงามในอาร์ราคิสทำให้เธอพร้อมต่อสู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เมื่อคนต่างถิ่นอย่าง พอล อะเทรดีส เข้ามาในชีวิตของเธอ เธอก็จางหายไปจากจินตนาการประหลาดที่อยู่ในความฝันของพอล แววตาสีฟ้าที่น่ากลัวของเธอทำให้เขาได้พบกับลิขิตชีวิตที่พเขาไปไกลจากจักรวาล ตอนนี้แววตาของเธอคือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับพอล เมื่อเธอมองเมีทั้งความสงสัย ความคาดหวัง และอาจจะมี …  ความปรารถนาด้วย? เธอมีอีกหลายเรื่องที่อยากสอนเขา

ตอนนี้พอลอยู่ท่ามกลางเฟรเมน มิตรภาพระหว่างพวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความรักที่ทรงพลังและสนิทสนมเกินกว่าที่เขาเคยเห็นภาพมาก่อน เธอช่วยนำทางพอลให้เข้าใจผู้คนและโลก ชานี่กลายเป็นส่วนสำคัญในการเดินทางสู่การเป็นผู้นำตามชะตาชีวิตของเขา แต่เธอต้องแลกกับอะไรบ้างเพื่อจะเชื่อมั่นในตัวพอล อะเทรดีส?

การกลับมาร่วมงานในเรื่อง  “ดูน: ภาคสอง”…

“ฉันมีเวลาเพียงไม่กี่วันในการถ่ายทำ ‘ดูน’ ฉันเลยตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาร่วมงาน และมีโอกสาสำรวจชานี่มากขึ้น การถ่ายทำเรื่อง ‘ดูน: ภาคสอง’ เกินกว่าความฝันที่ฉันเคยคิดเอาไว้ การได้อยู่ในฉากแบบนี้ร่วมกับคนที่มีพรสวรรค์จากทุกแผนก… ฉันรู้สึกกลัวไปเลยค่ะ”

การเริ่มเดินทางต่อของชานี่…

“เราเลือกให้เริ่มต้นจากตอนจบเรื่องเลยค่ะ บรรยากาศกลางทะเลที่มีพอล เจสสิก้า และเฟรเมน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกมากเพราะฉันรู้สึกเหมือนได้ถ่ายทำในฉากเดิมจากเมื่อ 4 ปีก่อน! ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ว่า  ‘เดี๋ยวนะ ฉันยังอยู่ในชุดเดิมอยู่เลยนี่ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?’”

การเปลี่ยนแปลงในชีวิตชานี่ครั้งสำคัญและเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน …

“ชานี่แทบไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองกำลังจะเกิดอะไรขึ้น! เธอเพิ่งพบกับพอล อะเทรดีสที่มาจากถิ่นอื่น เขาดีเหมือนเพื่อนสนิทของเธอ จามิส และคุณแม่ของเขาไม่มีที่ใดอื่นปลอดภัย พวกเขาจึงประคองไปด้วยกัน แต่เธอมีความหวาดกลัว เธอทำเหมือนเขาเป็นคนที่ต้องได้รับความเคารพและทำเหมือนเป็นเฟรเมนคนหนึ่ง เธอดูจะแข็งกร้าวและจับตามองเขาตลอด แต่แน่นอนว่าเธอได้เห็นแล้วเขาอาจจะเป็นคนอายุมากกว่าที่พูดคุยด้วยได้ ผมคิดว่าเธอทำกับเขาแบบนั้นเพราะกลัวว่าเขาเป็นตัวแทนของสิ่งใด เพราะหัวใจเธอเริ่มจะรู้สึกบางอย่างที่ผมคิดว่าเธอคงไม่เคยรู้สึกมาก่อน”

เมื่อพอลเริ่มทำลายกำแพงที่ชานี่สร้างขึ้นมา…

“ฉันคิดว่าในช่วงแรกของเรื่อง เธอเริ่มจะใจอ่อนลงเพราะความจริงใจของเขาแล้วค่ะ เขาอยากอยู่ที่นั่นเพื่อเรียนรู้วิถีของพวกเขาและกลายเป็นเฟรเมน เขาอยากได้รับความเคารพและความไว้ใจจากเธอ และเขาพยายามจะลบความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่แม่ของเขากดดัน ไอเดียของการเป็น ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ มันทำให้ชานี่อุ่นใจเพราะเธอทิ้งความคิดทุกอย่างนั้นไปเช่นกัน และอีกเหตุผลหนึ่งคือความรัก เราไม่อาจเลือกได้ว่าเราจะรักใคร”

หลายประเด็นในเรื่องและการถ่ายทอดทุกสิ่งออกมา…

“สิ่งที่เดอนีทำได้อย่างดีมากคือการการถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เฟรเมนมีการชวนเชื่อที่ยาวนานมาหลายต่อหลายปี ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ จะเดินทางมาช่วยเหลือพวกเขา มีหลายคนที่เชื่อแบบนั้น เราต้องรับมือกับความแตกต่างของคนรุ่นใหม่ที่มองทุกอย่างต่างไปอย่างสิ้นเชิง” 

ความกลมกลืนของชานี่ในโลกเฟรเมนทั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ …

“ชานี่เป็นส่วนหนึ่งของรุ่นที่ต่อสู้กับสิ่งที่คิดว่าเป็นแนวคิดล้าสมัย เธอเชื่อว่านั่นคือการกดขี่ผู้คน การผจญภัยของเธอจึงมีทั้งความซื่อสัตย์ จริงใจที่จะเรียนรู้และเติบโตจากพอล เธอตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันก็เกลียดสิ่งที่เขาเป็นตัวแทนอยู่ นั่นคือสิ่งที่ยากสำหรับเธอเพราะเธอใส่ใจผู้คน ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคม พอลเข้ามาทำให้เธอต่อสู้อย่างยากลำบาก เธออยากเชื่อมั่นว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอ มันต้องใช้เวลาเอาชนะใจเธอและทำลายกำแพงที่เธอมี เพื่อทำให้เธอไว้ใจเขา ความรักของพวกเขาสุดท้ายจะควรคู่อย่างแท้จริง”

การนำ ดูน และชานี่ให้ผู้ชมรุ่นใหม่รู้จัก…

“เดอนีถ่ายทอดงานอันประพันธ์อันงดงามได้ออกมาอย่างโดดเด่น และปรับเปลี่ยนหลายอย่างให้เหมาะกับยุคสมัยของเรา สิ่งสำคัญสำหรับฉันและเดอนีคือชานี่มีหน้าที่มากขึ้น มีบทบาทมากขึ้นเพื่อให้เธอต่อสู้และเข้าไปสำรวจลึกซึ้งขึ้น ชานี้มีความดุเดือดมากกว่าเดิม มันทำให้เธอดูมความซับซ้อน ฉันรักตัวละครทั้งหลายที่ยึดมั่นในความรู้สึกตัวเองและพูดอย่างที่คิดออกมา เพราะมันสนุกกว่าเยอะที่จะรับบทตัวละครที่มีความสับสนในจิตใจ และต้องต่อสู้เพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง”

ความรู้สึกที่เชื่อมโยงถึงชานี่ได้เป็นการส่วนตัวi…

“ฉันมักจะเกิดความขัดแย้งกับชานี่ตลอดเวลาระหว่างความคิดกับสิ่งที่เอรู้สึก ฉันคิดว่าเธอแกร่งกว่าที่ฉันเป็น เธอซัดฉันได้เลยล่ะค่ะ! เธอมีความเข้มแข็งแบบที่ฉันต้องชื่นชม และอยากทำอะไรดีขึ้นเพื่อผู้คนของเธอ คอยดูแลคนอื่น ใส่ใจคนที่เธอรัและโลกของเธอที่มีความหมายกว่าสิ่งอื่นใด ฉันรักสิ่งนั้นมากเช่นกันค่ะ หน้าที่ของฉันง่ายกว่าเธอเยอะเพราะไม่ต้องต่อสู้เพื่อจักรวาล แต่ทุกอย่างที่ฉันทำจะพยายามทำให้ดีที่สุดจากในด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ต่างกับชานี่ที่ฉันอยากแสดงออกตรงตามที่รู้สึก ไม่ใช่สำหรับตัวเองแต่สำหรับคนที่อยู่รอบตัวฉันด้วยค่ะ”

การถ่ายทอดบทชานี่สู่อีกขั้น…

“ฉันคุยกับเดอนีว่าอยากให้ชานี่ดูเท่แบบไหนบ้าง เช่น ฉันอยากต่อสู้! นั่นเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะที่ให้เธอมีส่วนร่วมในการต่อสู้มากที่สุด เธอมีความแข็งแกร่งมากและเป็นนักต่อสู้ที่มีความสามารถ มีลูกเล่นพอตัวเลย ฉันชอบจุดนั้นมากเลยค่ะ”

ความหลงใหลการบูชาน้ำของเฟรเมนอย่างที่เห็นในเรื่อง…

“ที่นั่นไม่มีน้ำเลยสักหยด พวกเขาเก็บรักน้ำเอาไว้ มีความละเอียดอ่อนและงดงามอยู่ในพิธีที่พวกเขาต้องเก็บรักษาน้ำจากรร่างกายผู้เสียชีวิต ตอกย้ำให้เห็นว่าน้ำคือสิ่งสำคัญในโลกของเรา ผู้คนต้องต่อสู้กันเพื่อน้ำสะอาด”

การร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์…

“สำหรับภาพยนตร์ที่มีความยิ่งใหญ่ระดับนี้ อาจจะมีการตกหล่นเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่เดอนีไม่เคยพลาดเลย เขามักจะเปิดบทสนทนากับนักแสดงและหัวหน้าแผนกต่างๆ ว่าพวกเขาอยากสร้างสรรค์อะไรบ้างและนำมาปรึกษากัน เขาเป็นคนเปิดกว้างและให้ความร่วมมือดีมาก ฉันคิดว่าสปิริตการทำงานแบบนั้นคือสิ่งสำคัญที่จะสะท้อนออกมาในภาพยนตร์ พร้อมด้วยอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์อย่างแท้จริง เขาร่วมงานกับทุกคนอย่างใกล้ชิดมากซึ่งเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”

การร่วมงานกับทิโมธี ชาลาเมต์…

“ทิโมธีกับฉันกลายเป็นเพื่อนสนิทกันเลยค่ะ เขาเหมือนกับพี่ชาย เหมือนกับคนที่จะเป็นเพื่อนกันได้อีกนานแสนนาน หวังว่าสุดท้ายเราจะเหมือนจอช โบรลินกับฮาเวียร์ บาร์เด็มที่นั่งคุยกันเรื่องหนังที่แสดงด้วยกัน บางครั้งมีความยากลำบากด้วยเวลาที่ยาวนานในทะเลทราย ฉันโชคดีที่มีคนให้หัวเราะและมีความสุขไปด้วยกัน ฉันไม่ค่อยได้เข้าฉากกับคริสโตเฟอร์ วอลเคนและฟลอเรนซ์ พิวห์ แต่สิ่งที่เห็นคือเขาเดินเข้ามาในห้อง… เขาทำให้รู้สึกเหมือนเจอจักรพรรดิ์! และฟลอเรนซ์ก็น่ารักมาก มีความเป็นราชินี เธอเหมาะจะเป็นเจ้าหญิงอิรูลานเลยค่ะ”

ความสำเร็จของภาพยนตร์ภาคแรกและความคาดหวังของเธอในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“ในเรื่องมีความปรารถนาต่อการก้าวเข้าสู่อีกโลก แม้ว่าบรรยากาศจะเป็นอีกดาวหนึ่งแห่งอนาคตในอีกหลายพันปีก็ตาม ในเรื่องมีรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ที่เดอนี วีลเนิฟว์ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก มันเลยไม่รู้สึกว่าเหมือนเอเลี่ยนจนกินไป รู้สึกเหมือนสิ่งที่เราเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก มิตรภาพระหว่างแม่และลูกชาย หรือความกดดันของใครสักคน การรับบทบาทหน้าที่ที่เราอาจรู้สึกไม่พร้อมจะรับมัน”

เลดี้ เจสสิก้า

— รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน —

ในฐานะของแม่ผู้เอาใจใส่ในพอล เลดี้ เจสสิก้ายังมีความเป็นพี่น้องที่ดูซับซ้อนในชื่อบีน เกสเซริทด้วย จุดแตกหักเกิดขึ้นระหว่างความปรารถนาจะปกป้องลูกชายตัวเอง และภารกจของบีน เกสเซริทที่ต้องเดินหน้าไปตามลิขิตชีวิตที่แท้จริงของพอล จุดแตกหักความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกชายทำให้รอดจากการทำลายล้งของฮาร์คอนเนน และอันตรายต่างๆ จากอาร์ราคิสที่รวมเป็นหนึ่งกับเฟรเมน

เลดี้ เจสสิก้ามีจุดอ่อนและยังรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียดยุคลีโต้ผู้เป็นพ่อของพอล ตอนนี้เธอฝืนใจทิ้งพอลไปเพื่อเดินตามเส้นทางของตัวเองพร้อมผู้คนของดูน เธอต้องอาศัยทุกความแข็งแกร่งที่มี เอาชีวิตรอดจากการรับบทบาทใหม่ที่หนัก เพื่อเป็นแม่ใหญ่แห่งเฟรเมน สานต่อทุกความทรงจำ รับอำนาจจากบรรพบุรุษของเธอ รวมถึงการเชื่อมโยงทางกายกับชีวิตใหม่ที่เติบโตในตัวเธออย่างอาเลีย น้องสาวของพอลที่ยังไม่ลืมตาดูโลก เลดี้ เจสสิก้ามีแรงผลักดันจากภาพของอนาคตที่ดีกว่าเดิม และเป็นตัวละครที่แสดงให้เราเห็นถึงความรักของแม่ที่ไร้ขีดจำกัด

การกลับมาร่วมงานในเรื่อง  “ดูน: ภาคสอง” และจุดที่เราได้พบกับเลดี้ เจสสิก้า…

“มันมีความแปลกใหม่ขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น อลังการขึ้น ทุกอย่างเพิ่มขึ้นจากภาคแรก!  สิ่งที่เรียกความสนใจจากฉันได้มากที่สุดคือจุดพลิกผันของตัวละครเลดี้ เจสสิก้า ตอนนี้เธอสูญเสียทุกอย่างทั้งสามี บ้าน ผู้คน โลกของเธอ และต้องพบกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีอะไรจะอ่อนแอไปมากกว่านี้แล้ว และในเรื่องนี้จะได้เห็นจุดที่เริ่มเปลี่ยนเป็นบีน เกสเซริท คุณแม่ผู้ปกป้องลูกชายของตัวเอง พร้อมรับหน้าที่เมื่อกลายเป็นแม่ใหญ่”

การเปลี่ยนแปลงตัวละครของเธอโดยเดอนี วีลเนิฟว์ ที่ทำให้นักแสดงเกิดความกระตือรือร้นครั้งใหม่ในการแสดง…

“ในหนังสือเจสสก้ามีลูกน้อยแล้ว และต้องเดินทางข้ามทะเลทรายไปพร้อมกับเฟรเมนโดยอุ้มลูกน้อยไปด้วย เดอนีตัดสินใจว่าเจสสิก้าควรตั้งครรภ์ในช่วงนั้น และฉันคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ฉลาดค่ะ มันทำให้เกิดความตื่นเต้นในการเดินทางขอเงเธอ เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ปกป้องสิ่งที่เธอสร้างให้พอล แต่เธอยังมีลูกอีกคนที่ยังไม่เกิดอีกด้วย ซึ่งเป็นเด็กที่มาพร้อมกับพลังอำนาจเมื่อเธอตัดสินใจว่าจะดื่มน้ำเพื่อกลายเป็นแม่ใหญ่ เธอมีความเปราะบางและเป็นห่วงลูกตลอดเวลา ฉันว่ามันน่าสนใจเมื่อได้เข้าไปสำรวจในจุดอ่อนแบบนั้นเสมอค่ะ”

ความสงบของเจสสิก้าที่ยังคงรักษาเอาไว้ตลอดช่วงเหตุการณ์โกลาหลรอบตัว …

“ในตัวเธอมีความนิ่งสงบตลอดเวลา เธอมีพลังวิเศษแต่เธอสามารถสัมผัสมันได้ ฉันคุยกับเดอนี วีลเนิฟว์เรื่องนั้นหลายสิ่งมาก และเธอยังมี บทสวดพิชิตความกลัว ในการอ่านออกเสียงเมื่อต้องเรียกพลังอื่นยามที่ตกที่นั่งลำบาก เธอมีรอยสักบนใบหน้าที่เป็นภาษาเฟรเมนด้วย มันคือสิ่งที่อยู่ติดตัวเธอตลอด ทุกสิ่งที่เธอพบเจอและตัดสินใจเลือกล้วนเป็นเรื่องไม่ธรรมดา แต่สติลเกอร์บอกชัดว่าพวกเขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากเธอ พวกเขาจะใช้กับพอล แต่ไม่ใช่เจสสิก้า นอกจากว่าเธอจะรับตำแหน่งแม่ใหญ่ ฉะนั้นมันเหมือนความตาย… หรือตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก”

การร่วมงานกับทิโมธี ชาลาเมต์ และ เซนเดย์อาอีกครั้ง…

“ทิโมธีโตมาพร้อมกับเรื่องราว และได้รู้จักกับโลกมุมใหม่ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มันทำให้เกิดความตื่นเต้นระหว่างพอลและเจสสิก้าจากภาคแรกมาก เซนเดย์อาก็เป็นนักแสดงที่น่าทึ่งและเหมาะกับบทชานี่ ฉันเคารพในตัวเธอมากค่ะ คิดว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็กรุ่นใหม่เลย”

บรรยากาศการดูแลของวีลเนิฟว์ในฉาก…

“ในฉากไม่มีการแสดงถึงอีโก้ของเดอนีที่เขามีสิทธิ์จะทำเลย เหมือนเมื่อก่อนที่ทุกคนต่างเป็นมิตร ใจดีต่อกัน เอื้อเฟื้อกัน ทุกคนเป็นตัวของตัวเองได้ รู้สึกสบายใจในการเป็นตัวเองและสิ่งที่ต้องการถ่ายทอดออกมา นี่คือความโดดเด่นและเป็นบรรยากาศที่เดอนีสร้างขึ้นมา ฉากของเขามีบรรยากาศดีที่สุดเท่าที่เคยร่วมงานมา”

— จอช โบรลิน —

เกอร์นีย์ ฮอลเล็ค

ที่ปรึกษาผู้ได้รับความไว้วางใจจากท่านดยุคลีโต้และเป็นเจ้าสงครามแห่งบ้านอะเทรดีส เกอร์นีย์ ฮอลเล็คถูกเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วหลังการต่อสู้ที่เกิดความเสียหายอย่างหนักของฮาร์คอนเนน ทุกอย่างถูกทำลายยับเยินรวมถึงสิ่งที่เขาสาบานไว้ว่าจะปกป้อง เมื่อเขาได้กลับมาเจอพอลอย่างไม่คาดฝัน มันกลายเป็นทั้งความประหลาดและการสานต่อความรู้สึกของทั้งคู่ การมีชีวิตอยู่รอดไม่ใช่เรื่องที่ปกติสำหรับพวกเขานัก เพราะเกอร์นีย์สูญเสียครอบครัวไปจากฝีมือของ “บีสต์” แร็บแบน แห่งบ้านฮาร์คอนเนน และเขาอยากจะแก้แค้นให้การตายของทุกคนไม่ต่างจากพอล ความแข็งแกร่งและความถนัดด้านการต่อสู้ของเกอร์นีย์ถูกทดสอบอีกครั้งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพื่อการทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่เพื่อการปกป้องเฟรเมนและโลกเอาไว้ด้วย นักรบผู้หวาดกลัวการต่อสู้ครั้งนี้ยังมีการต่อสู้อีกครั้งที่เหลืออยู่ วันชำระแค้นของแร็บแบนกำลังจะมาเยือนอีกไม่นาน

ตอนต่อไปที่ผู้ชมจะได้สัมผัสในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“‘ดูน Part Two เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นอย่างเต็มตัว มันป็นเรื่องที่เราทุกคนเข้าใจได้ดี เกี่ยวกับมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นตัวเองอย่างเต็มตัวและอาจพบกับความอ้างว้าง แต่เราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เพราะมีผู้คนทั้งหมู่บ้าน ผมคิดว่าทุกตัวละครต้องมีมากกว่า 1 เรื่องที่จะมีส่วนร่วมด้วย  ทุกอย่างล้วนมีส่วนสำคัญต่อตัวเขา”

การหวนกลับมาหา เกอร์นีย์ ฮอลเล็ค ตัวละครของเขาและการผจญภัยที่เขาจะได้พบเจอ …

“ผมรักที่เกอร์นีย์แสดงให้เห็นถึงความไม่เคารพ แต่เขากลับตัวได้และทำตัวโหดร้ายได้ นับเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นตัวละครนี้ทั้ง 2 ด้าน เกอร์นีย์มีทั้งความสดใสและความดุเดือด เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับศาสนาเยอะมาก และผมคิดว่าเกอร์นีย์สะท้อนถึงความคลั่งที่อยู่ในตัวพวกเราทุกคนได้ เขาต้องดิ้นรนต่อสู้ในจุดที่เขาต้องพบเจอ เขาคิดว่า ‘ฉันเหมาะกับการเป็นผู้นำตรงไหน? ฉันเหมาะกับเป็นนักรบตรงไหน? ฉันเหมาะกับตรงไหนบ้าง?’”

การร่วมงานกับคริสโตเฟอร์ วอลเคนยอดฝีมือ และ นักแสดงใหม่ในโลกของ “ดูน” ออสติน บัตเลอร์ และ ฟลอเรนซ์ พิวห์…

“สำหรับผมแล้วคริส วอลเคนเป็นคนที่ขึ้นหิ้งมานานหลายสิบปีแล้ว เขามีการแสดงที่ยอดเยี่ยมมากมายให้เราเห็น การได้ร่วมงานกับเขาและดูคนที่มีพลังแห่งการทำงานนับเป็นเรื่องที่วิเศษสุดในฐานะนักแสดงคริสคือคนที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก”

“ฟลอเรนซ์ พิวห์เป็นคนที่เจ๋สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เธอมีพลังล้นเหลือและเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างทรงพลัง ผมนับถือผู้หญิงคนนั้นมากเลยครับ เธอเป็นนักแสดงที่ไม่ธรรมดาเลย และสำหรับออสติน บัตเลอร์ ผมนั่งในฉากและเฝ้าดูเขาอย่างเดียวเลย เพราะเขาเป็นนักแสดงอีกคนที่ผมรู้สึกว่า ‘ดีใจจังเลยที่คุณอยู่ตรงนี้’”

การกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ และเพื่อนอย่างเดอนี วีลเนิฟว์…

“ผมรักและเคารพเดอนีมากครับ เวลาดูเขากำกับฯ จะเห็นความเป็นตัวเขาที่มีเทคนิคความชำนาญ เขาเห็นเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน เขาร้องขอจากนักแสดงมากขึ้นได้ในแบบที่เหมาะกับเรื่อง เขาไม่ได้ใช้อีโก้พร่ำเพรื่อ เราแทบไม่เห็นคุณสมบัติแบบนี้อยู่ในผู้กำกับฯ เพียงคนเดียว เขามีจินตนาการในแบบที่พวกเราไว้ใจ และมันทำให้ภาพยนตร์ออกมาดีขึ้น … ผมรักการร่วมงานกับผู้กำกับน่ารักและเดอนีคือหนึ่งในสุดยอดผู้กำกับฯ เลยครับ”

— ออสติน บัตเลอร์ —

เฟย์ด-รอว์ธา ฮาร์คอนเนน

อาวุธที่โหดเหี้ยมสุดแห่งบ้านฮาร์คอนเนนพร้อมจะเปิดตัวแล้ว…

เฟย์ด-รอว์ธาไม่มีผม ดูสุภาพเรียบร้อย งามสง่าจากวัฒนธรรรมและได้รับความคาดหวังจากชาวฮอร์คาร์เน็น นอกจากความโหดเหี้ยมแล้วเขาสามารถลงมือสังหารได้เพียงกะพริบตา เขามีท่าทางที่คล่องแคล่วและพร้อมทดสอบความคมของดาบเล่มใหม่

ความฉลาดของเขาเหมาะลงตัวกับความโหดเหี้ยม เขามีทักษะการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา สร้างความโดดเด่นในสังเวียนการต่อสู้ เกดิไพรม์ แต่บารอนอาจจะมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้นสำหรับหลานผู้กระหายเลือด เขายังมีอารมณ์ขันและอยากสัมผัสความเจ็บปวดทั้งของตัวเองและของผู้อื่น

มันมีพลังจากผู้ที่เชื่อมั่นใจเฟย์ด ไม่ใช่พอล ว่าเขาคือ “ผู้ยิ่งใหญ่” นักรบรุ่นใหม่นี้อาจเป็นเหรียญที่ตรงกันข้ามกัน เฟย์ดสะท้อนด้านมืดของทายานอะเทรดีส ความสามารถของเฟย์ดจะถูกทดสอบในท้ายที่สุด ภายนอกวงล้อมสังเวียนการต่อสู้ เขาจะต้องถูกส่งไปพบกับศัตรูที่คาดไม่ถึง

การเป็นแฟนตัวยงภาพยนตร์เรื่องแรก “ดูน” และการอ่านหนังสือนิยายตอนช่วงวัยรุ่น…

“ครั้งแรกที่ได้ดูผมรู้สึกแบบเดียวกับตอนดู ‘Apocalypse Now’ เป็นครั้งแรกเลยครับ ผมรู้ตัวเลยว่าอยากมีส่วนร่วมในภาคต่อ ผมเลยรู้สึกว่าโชคดีมาก”

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อได้อ่าบบทเรื่อง  “ดูน: ภาคสอง” เป็นครั้งแรก…

“พอผมได้อ่านบทก็พูดกับเดอนีเลย ผมรู้ว่าเรื่องนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ เดอนีเป็นนักเขียนที่เก่ง เขาเข้าใจเนื้อเรื่อง ความเป็นมนุษย์ และถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดีมาก เขายังเขียนออกมาได้อย่างเห็นภาพชัดเจนด้วย ผมรู้ว่ามันต้องเป็นหนังที่สนุกแน่ เราไม่ได้เล่นตัวละครแบบนี้ทุกวัน และที่สำคัญคือมันมีความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปร่างด้วย ต้องสะท้อนถึงปัญหาทางจิตของเขา ผมคุยกับเดอนีว่าทำไมเขามีท่าทางแบบนั้น ความสัมพันธ์กับครอบครัวและโลกอันโหดดร้ายของลุงที่เขาเติบโตมา ตัวละครอย่างเฟย์ดเหมือนจะยากในการแสดงให้เห็นภาพได้ แต่เขาคือคนที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นการให้ความสนใจในตัวมนุษย์ที่มีอุปสรรคนับเป็นเรื่องที่น่าค้นหา”

เนื้อเรื่องที่โดนใจเขา…

“ดูน เป็นเรื่องราวที่มีความหมายมากสำหรับตอนนี้ครับ ครั้งแรกที่อ่านหนังสือคือตอนอายุ 15 ปี ผมไม่เข้าใจเรื่องการฉ้อโกง ความโลภ และพลังอำนาจ หรือไอเดียของสิ่งมีชีวิตสังคมหนึ่งที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และอีกสังคมที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบธรรมชาติ แต่พอกลับไปอ่านอีกครั้งและได้อ่านบทภาพยนตร์ มันรู้สึกเหมือนเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในข่าวทุกวันนี้เลย”

การร่วมงานกับผู้กำกับฯ เดอนี วีลเนิฟว์…

“เดอนีเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เขาเป็นคนใจดีและคิดถี่ถ้วนในการทำงาน เขาคอยรับฟังและจะไม่มุ่งเอาแต่คำตอบ เขาจะบอกว่าเขาฝันไว้แบบนี้ จากนั้นจะกลับมาพร้อมกับรายละเอียดและเหตุผลในจินตนาการของเขา เขาคือคนที่มีไหวพริบตัวจริงเวลาที่เราดูเขาทำงาน ผมรู้สึกหวั่นเกรงเขาทุกวัน แต่เขาก็ทำให้มันดูง่ายมากทุกวันเช่นกัน”

การร่วมงานกับทิโมธี ลาชาเมต์, ฟลอเรนซ์ พิวห์ และทีมนักแสดงแห่งบ้านฮาร์คอนเนน สเตลแลน ซาร์สการ์ด และ เดฟ บาวทิสต้า …

“ทิโมธีเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งและเป็นคนใจกว้างมาก เราหัวเราะไปด้วยกันได้ ฉากการต่อสู้อาจจะดูหนักหน่วง เราจึงต้องสนิทกับอีกฝ่าย มันเลยเหมือนการเต้นไปด้วยกัน แต่ทิโมธีเป็นนักเต้นที่เก่งมาก ผมสนุกกับการรับบทร้ายไปพร้อมกับสเตลแลน ซาร์สการ์ด และ เดฟ บาวทิสต้า พวกเขาเป็นคนที่น่ารักและสนุกสนานที่พร้อมเปิดใจให้ผม และผมมีช่วงเวลี่ดีกับฟลอเรนซ์ พิวห์ เธอเป็ฯนักแสดงที่เก่งมากคนหนึ่งของตอนนี้เลย ผมรู้สึกโชคดีที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ ทั้งนั้น”

การฝึกซ้อมเพื่อรับบทเฟย์ด-รอว์ธา นักต่อสู้ที่โหดร้ายและคนโรคจิต…

“ผมมีเวลาหลายเดือนฝึกซ้อมกับดัฟฟี่ เกเวอร์ที่เก่งมาก เขาเป็นสตั๊นท์แมนและเป็นทหารหน่วยซีล ส่วนโรเจอร์ หยวนเขาก็เก่งมากและเป็นตำนานคนหนึ่ง ผมต้องต่อสู้กับเขาในเรื่อง ผมรู้ว่าฉากต่อสู้จะต้องใช้ความพยายามสูงมาก ผมอยากให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังเลยฝึกซ้อมหนักมาก เราฝึกคาลีซึ่งเป็นการต่อสู้ด้วยไม้ของชาวฟิลลิปปินส์ ซ้อมการใช้มีดเยอะมาก เราต้องหาสไตล์การต่อสู้ในแบบเฟย์ด หากพอลฝึกฝนการต่อสู้ในแบบอะเทรดีสและเฟรเมน เฟย์ดจะมีสไตล์ที่แตกต่างอย่างไรบ้าง ผมต้องฝึกการออกเสียงด้วย พอเห็นตัวเองอยู่ในกระจกและไม่มีผมสักเส้น ฟันสีดำ… เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่โชคดีมากเพราะเราจะลืมตัวเองคนเก่าจากร่างนั้นไปเลย”

— ฟลอเรนซ์ พิวห์ —

เจ้าหญิงอิรูลาน

เจ้าหญิงอรูแลนเป็นลูกสาวของ จักรพรรดิพาดิชา ชาดดัมที่สี่ และบุตรบุญธรรมของเบเน เจสเซริต คุณแม่ใหญ่ โมเฮียม ที่มีความสง่างดงามพร้อมมีความช่างสังเกตรู้จักยุทธวิธี แต่เธอมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อสิ่งใดกันแน่?

ความคิดของเธอที่คิดว่าสามารถควบคุมอาร์ราคิสได้ เธอพร้อมจะนำเสนอความคิดตัวเองแม้จะไม่ได้รับความนิยมก็ตาม คุณพ่อของเธอคือผู้ชำนาญด้านเกมหมากรุกพีระมิด 9 ชั้นที่รู้จักกันในชื่อ Cheops เธอเข้าใจได้ว่าพลังที่แท้จริงมาจากการทำให้ผู้คนของเขารู้สึกเหมือนเป็นตัวประกัน เมื่อรู้สึกแบบนั้นสุดท้ายเขาจะเป็นฝ่ายชนะ

แต่อันที่จริงแล้วอาจเป็นอิรูลานที่วางแผนการใหญ่ที่สุดในทั้งหมดเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะต้องสร้างความเสียใจให้สาวน้อยแห่งอาร์ราคิสเท่าไหร่ก็ตาม

ความตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานในโลกของ “ดูน” …

“นี่จะเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดในโลกที่ฉันคิดว่าเคยได้สัมผัสมาก่อนเลยค่ะ ฉันสงสัยมาตลอดว่าหากพวกเขาสร้างหนังฟอร์มยักษ์อีกครั้ง และเป็นเรื่อง ‘ดูน’ มันจะยิ่งใหญ่ขนาดใหญ่ การได้มาร่วมงานด้วยก็นับเป็นความยิ่งใหญ่แล้ว การได้เดินเข้าไปในฉากและเป็นส่วนหนึ่งในภาพที่เดอนี วีลเนิฟว์จินตนาการเอาไว้เป็นประสบการณ์พิเศษมาก หากเดอนีบอกว่าฉันสามารถเป็น สเปียร์ แคร์เรียร์ ที่3 ได้ฉันก็คงตอบตกลง แค่ได้มีประสบการณ์ในสุดยอดภาพยนตร์แบบนี้ก็พอ การร่วมงานกับทีมนักแสดงที่ยิ่งใหญ่แบบนี้คือสิ่งที่ฉันอยากมีส่วนร่วมด้วย”

สิ่งที่เธอรักในภาคแรกและในความสามารถของวีลเนิฟว์ในฐานะผู้กำกับฯ …

“ฉันรู้สึกว่า ‘ดูน’ มีการหักมุมและจุดพลิกเรื่องราว ทุกเพลงทำให้ฉันถึงกับขนลุกได้เลย นับเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งของเดอนีในการสร้างโลกใบใหม่ด้วยเสียงดนตรี และเสียงของผู้คนในแบบนั้น เป็นอะไรที่ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ”

ความน่าทึ่งของเจ้าหญิงอิรูลานที่เธอพบ…

“อิรูลานเป็นคนเศร้ามากค่ะ เธอดูเงียบมากเมื่อเธอเห็นเรื่องราวดำเนินไป ครั้งแรกที่ได้พบคุณอาจคิดว่าเธอคงไม่ทันรู้ตัวหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เธออยู่ตรงนั้นตลอด เธอคำนวณทุกอย่างเสมอ และเธอเป็นตัวละครที่ฉันหลงใหล ตัวละครดูมีโอกาสมาก เดอนีคอยบอกฉันเสมอว่าตัวละครนั้นเป็นบทเล็กๆ แต่ฉันไม่สนใจเลยเพราะนั่นยิ่งท้าทายขึ้นกว่าเดิม!”

ความสัมพันธ์ของอิรูลานที่มีต่อเบเน เจสเซริตในเรื่อง…

“อิรูลานเป็นผู้บรรยายในหนังสือ เธอกุมอนาคตและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเอาไว้ เธอจะขึ้นครองอาณาจักรและผ่านการฝึกฝนเพื่อการนั้น เธอผ่านการฝึกจากแม่ใหย่… แต่เธอเป็นเด็กฝึกหัดที่ทำตัวแหกคอกและนำการสอนของแม่ใหญ่มาใช้อีกทาง เธอรู้ว่าตัวเองมีความสำคัญซึ่งนั่นคือสิ่งที่ค่อนข้างน่ากลัว เธอรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในแผนของแม่ใหญ่และต้องการสิ่งเดียวกับสิ่งที่เธอต้องการ”

ความสนใจในตัวพอล อะเทรดีสสำหรับเจ้าหญิงอิรูลาน…

“มิตรภาพระหว่างพอลและเจ้าหญิงอิรูลานเกี่ยวกับการเมืองล้วนๆ เราจะเห็นผู้หญิงที่โตมาอย่างเหมาะสมและมีความฉลาด เธอจับตาดูเขา นับทุกก้าวเดิน และคอยนึกภาพว่าเขาจะเป็นแบบไหน”

วันแรกที่ถ่ายทำ “ดูน: ภาคสอง”…

“ช่วง 3 วันแรกที่ถ่ายทำในเดือนมิถุนายนที่อิตาลี ฉันต้องเข้าฉาก 3 วันกับเลอา เซย์ดูซ์ และ ชาร์ล็อตต์ แรมพลิง มันเป็น 3 วันที่เหลือเชื่อที่สุดเลยค่ะ ไม่มีความเครียดใดๆ มีแต่การแสดงตลอดทั้งวันทั้งคืน 3 วันร่วมกับหญิงแกร่งที่ฉันเฝ้าดูมาเป็นเวลานาน และพวกเธอเป็นนักแสดงที่มีความสามารถมาก ที่สุดแห่งการแสดงของฉันคือการได้ร่วมงานกับพวกเธอทั้ง 3 วัน จากนั้นได้ออกไปข้างนอกกับคริสโตเฟอร์ วอลเคน 2 สัปดาห์! ฉันต้องเตือนตัวเองตลอดว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ ฉันไม่ควรชินกับมันแบบนั้น!”

การกลับมาร่วมงนกับเพื่อนนักแสดงเก่าอย่างทิโมธี ชาลาเมต์…

“‘Little Women เป็นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของฉันที่ได้ร่วมกับนักแสดงที่ดังมาก ฉันจำรู้สึกที่ตัวเองเหมือนฟันเฟืองตัวเล็กๆ ทิโมธีพิสูจน์หลายอย่างให้เห็น 4-5 เดือนก่อนหน้านั้น และจำได้ว่าตัวเองคอยโค้งให้เขาตลอดเวลา การได้ร่วมงานกับเขาหลังจากนั้น 4 ปี ฉันได้เห็นว่าเขาโตขึ้นขนาดไหนและเขามีความเป็นนักแสดงขนาดไหน การได้เห็นเพื่อนของเรารับความท้าทายที่ไม่ใช่แค่นักแสดงที่น่าทึ่ง แต่ยังกุมจังหวะนั้นและถ่ายทอดภาพยนตร์ออกมาได้เป็นความรู้สึกที่ภูมิใจมาก ฉันรักการร่วมงานกับเขา เขาเหมือนเท็ดดี้แบร์ตัวใหญ่ของฉันเลยค่ะ”

— เดฟ บอว์ทิสต้า —

“บีสต์” แรบแบน ฮาร์คอนเนน

เขาเหมือนสัตว์ร้ายคล้ายกับชื่อที่บอกโดยนัย เดอะ บีสต์ แรบแบน เขาเป็นหลานของบารอน วลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนนผู้มีความสุขจากการทำร้ายผู้อื่น และเขาเป็นผู้คุมอำนาจสูงสุดแห่งอาร์ราคิส… สำหรับตอนนี้ เขายังคงมีความโหดร้ายโดยธรรมชาติอยู่ในตัว การระเบิดอารมณ์ของเขายากที่จะเข้าใจและยากจะคาดเดาได้ เขาชอบการขี่อาร์ราคิสของฟรีเม็ฯหรือ “หนู” ในสายตาของเขา แรบแบนไม่รู้ตัวว่าพังของเขาจะถูกท้าทายโดยคนของเขาเอง หรือเขาอยู่ในรายชื่อถูกคิดบัญชีในการต่อสู้ครั้งสำคัญกับคู่ต่อสู้เก่าแก่ที่ต้องเผชิญ ความกระหายเลือดของทั้งคู่อาจสมน้ำสมเนื้อกันดี

การร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์ที่ร่วมงานกันเป็นประจำอีกครั้ง …

“ผมมักมีช่วงเวลาที่ดีในการร่วมงานกับเขา ผมรอโอกาสที่จะได้กลับไปร่วมฉากกับแสมอ เขาท้าทายให้ผมแสดงผลออกมาให้ดีที่สุด ผมจะคอยดูโน้ตของเขาเสมอ เพราะผมรู้ว่าเวลาเขาเขียนโน้ตให้มันคือความท้าทายครั้งใหม่ ผมอยากถ่ายทอดหลายอย่างให้เขา ถ้าเขามีความสุขผมก็มีความสุข”

การค้นพบคาแรคเตอร์ “บีสต์” แรบแบนโดยพวกเราและเขาในภาคแรก …

“แรบแบนมีความโหดเหี้ยม โรคจิต ฆาตกร และนั่นคือการคุมเกมของเขา เขาคุมเกมด้วยความโกรธและความกลัว ผมคิดว่าเขาด้อยค่าทุกสิ่งที่เผชิญหน้า เขามีพลังที่โหดร้ายแต่ไม่ค่อยใช้ความคิดมากนัก เขาชอบเยาะเย้ยและขี้ขลาด แต่นั่นคือตัวตนของเขา เขาอาศัยทั้งการข่มขู่ ความกลัว และความโกรธ แต่ครั้งนี้เขาใช้ไม่ได้อีกแล้ว” 

ความรู้สึกที่ได้กลับมารับบทนี้อีกครั้ง…

“การรับบทแบบนี้ที่แตกต่างจากตัวเราอยากสิ่งเชิงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นมากครับ ผมมีโอกาสท้าทายตัวเองในการแสดง เพราะนักแสดงคนอื่นก็เก่งมากด้วย ผมรู้สึกสบายใจที่ได้รับบทนี้และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องถูกตัดสินเรื่องอะไร การได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมนักแสดงกลุ่มนี้ถือเป็นเรื่องที่งดงามมาก เพราะเราได้มองย้อนกลับไปดูผลงานนักแสดงที่มีฝีมือ และทุกคนก็ฝากผลงานไว้อย่างเต็มที่ไม่มียอมกันเลย”

ความหวังของเขาที่มีต่อผู้ชมเมื่อได้ดูเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“ผมหวังว่าตอนแฟนๆ ภาคแรกได้ดูเรื่องนี้ พวกเขาจะรู้สึกว่าอิ่มใจเหมือนตอนที่ดู ‘ดูน’ ผมหวังว่าพวกเขาจะได้รับแรงบันดาลใจและทึ่งกับโลกที่เดอนีสร้างเอาไว้ ได้สำรวจทั้งโลกในอีกรูปแบบหนึ่ง หวังว่าหนังเหล่านี้จะอยู่ไปอีกตลอดกาล”

— คริสโตเฟอร์ วอลเคน —

จักรพรรดิพาดิชา ชาดดัมที่สี่

ขุมพลังอันสูงสุดแห่ง จักรวาลที่รู้จัก มีอำนาจปกครองดูแลทุกอาณาจักร มอบผลตอบแทนให้พันธมิตรและลงโทษผู้คิดทรยศ

เขามีเสน่ห์ตามความงดงามที่เห็น แววตาของเขามีความทรยศจักรพรรดิ ไม่ต่างจากเบเน เจสเซริตที่เป็นผู้นางเขา คอยแนะแนวทางกลยุทธ มีเพียงผู้ที่ใกล้ชิดเขาที่จะเข้าใจการกระทำของเขาได้เมินเฉยต่อสิ่งที่เขาต้องแบกรับไว้

เขาคอยบงการความล่มสลายของบ้านอะเทรดีสด้วยความอิจฉา ผู้คุมกฎตอนนี้กำลังเกิดความสงสัยผู้คนแห่งบ้านฮาร์คอนเนน ทำให้อาร์ราคิสเริมควบคุมจุดหมายของตัวเองไม่ได้ แต่ผลตอบแทนที่เขาจะได้ไม่ใช่แค่สินค้าของอาร์ราคิสที่เรียกว่าสไปซ์เท่านั้น มันยังรวมถึงขุมพลังแห่งจักรวาลที่จะมอบให้กับทุกคนที่ได้รับครอบครัว และเมื่อเขาได้ครอบครองแล้วอาจทำให้เขามีไหวพริบในการดูแลบ้านของเขาเองก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป เจ้าหญิงอิรูลานลูกสาวของเขาอาจเป็นผู้เล่นที่มีกลยุทธเหนือกว่า… และความซื่อสัตย์ของเธออาจขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของพ่อ

การรับบทจักรพรรดิสำคัญในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“จักรพรรดิเปรียบเสมือนกับเจ้านาย โลกที่เขาอาศัยอยู่อย่างไคเทนเป็นดาวที่งดงาม เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว และต่างจากอาร์ราคิสอย่างสิ้นเชิง ผมจำตอนแรกที่รับบทกษัตริย์บนเวทีได้ ผมพูดกับนักแสดงคนอื่น ‘ผมจะรับบเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร? ผมมาจากราชินีและโตมาพร้อมกับเพื่อนบ้าน’ เขาบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วงหรอก ความเป็นกษัตริย์เห็นได้จากภาพสะท้อนออกมา เธอเป็นกษัตริย์ได้จากการตอบรับของผู้คน’  ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดดี พอถึงตอนนี้ผมไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นจักรพรรดิ์เลย ผมแค่ไว้ใจเดอนี วีลเนิฟว์ ฉากที่งดงาม พวกเสื้อผ้า หากทุกคนปฏิบัติกับผมเหมือนผมเป็นจักรพรรดิ์ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

การร่วมงานกับผู้กำกับฯ เดอนี วีลเนิฟว์ เป็นครั้งแรก…

“เดอนี วีลเนิฟว์เป็นคนที่ฉลาดมาก ผมไม่เคยเจอใครแบบเขามาก่อนน ผมรู้จักเขาผ่านผลงานภาพยนตร์ของเขา ผมดูเรื่อง ‘ดูน’ ภาคแรกหลายครั้งมาก ผมรู้จักเขาจากสิ่งที่ได้ยินจากคนอื่นที่เคยร่วมงานกับเขา เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์สูงมากและมีเคนิค เขารู้ว่าต้องจัดการกับมันอย่างไร มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เราร่วมงานกับผู้กำกับฯ แล้วรู้สึกได้ว่าอยู่กับคนที่เชื่อฝีมือได้ นี่คือหนึ่งในโอกาสเหล่านั้นครับ”

ประเด็นต่างๆ ในเรื่อง…

“ในเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องอานาจ ครอบครัว การล้างแค้น การแข่งขันกัน และความรัก มีเรื่องราวของความรักเป็นสิ่งสำคัญเลยครับ”

— เลอา เซย์ดูซ์ —

เลดี้ มาร์ก็อต เฟนริง

แม้ว่าจะต้องประคองตัวอยู่กับเบเน เจสเซริตผู้นิ่งสงบ เลดี้ มาร์ก็อต เฟนริงก็มีภารกิจหนึ่งเหมือนกัน หลังจากที่ได้เห็นทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของเฟย์ด-รอว์ธา เธอใช้จิตควบคุมและยั่วยวนเขาให้ทำตามสิ่งที่เธอต้องการ ความเข้าใจในกลยุทธของแม่ใหญ่ โมเฮียม แผนซ้อนแผนของเธอ ทำให้เลดี้ เฟนริงมีพลังในการเสาะหาโอกาสเพื่อกลยุทธของเธอในระยะยาว

ความประทับใจแรกในตัวละครเลดี้ มาร์ก็อต เฟนริงของเธอ …

”สิ่งที่ฉันชอบในตัวเธอคือความลึกลับ แรงผลักดัน และเธอมีพลังแห่งการดึงดูด เธอมีพลังเหมอืนแม่เหล็ก รู้ว่าต้องำอย่างไรเพื่อให้ถึงเป้าหมาย แต่เธอย่อมมีความผิดพลาดและไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เห็น ฉันอยากรับบทตัวละครที่มีความลึกลับแบบนี้มาตลอดเลยค่ะ ตอนที่คุยเรืองตัวละครกับเดอนี เขาบอกว่าเธอดูเย็นชาและยากที่จะเข้าถึงได้”

ความต้องการแท้จริงของเลดี้ เฟนริงที่ยากจะเข้าใจ…

“เป้าหมายหลักของเธอคือการสานต่อสายเลือด และนั่นจะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่ดีที่สุด มันเป็นความคิดที่ดูเผด็จการมากค่ะ สิ่งที่ฉันรักในเรื่องคือโลกที่มีผู้หญิงเป็นฝ่ายควบคุม เบเน เจสเซริตคือผู้ชำนาญตัวจริง และนั่นคือเรื่องจริง เพราะผู้หญิงมีพลังมหาศาลเพราะเธอกุมอนาคตเอาไว้ เธอมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่แข็งแกร่งมาก”

บทภาพยนตร์และความชื่นชมที่มีต่อเดอนี วีลเนิฟว์…

“ฉันรักบทและเรื่องราวความรักระหว่างพอลและชานี่ค่ะ ฉันว่ามันมีการเปรียบเทียบกันได้ดีมาก จินตนาการของเดอนีมีความชัดเจนมาก เขามีไอเดียหลายอย่าง เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและมีความกระตือรือร้นในตัว ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจได้มากเลย แต่เขาก็มีความตลกและทำให้เราสบายใจมาก ทำให้ในฉากดูมีความสนิทสนมกันซึ่งช่วยในหนังฟอร์มยักษ์แบบนี้มากค่ะ ฉันรักการร่วมงานกับผู้กำกับฯ เก่งๆ เขามีความกระตือรือร้นสูงมาก ฉันโชคดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนี้”

การร่วมงานกับเพื่อนนักแสดงและผู้ชำนาญด้านศิลปะที่มีพรสวรรค์ในทีมของวีลเนิฟว์ …

“ชาร์ล็อตต์ แรมพลิงเป็นนักแสดงแห่งตำนานและฉันรักเธอมากค่ะ เราเข้ากันได้เป็นอย่างดี ฟลอเรนซ์และออสตินก็ไม่ธรรมดาเลย แพทริซ เวอร์เม็ตต์, แจคเกอลีน เวสต์ ผู้เป็นนักออกแบบ และตากล้องเกร็ก ฟราเซอร์ ทุกคนในทีมทุ่มเทกันอย่างมาก คอยให้ความช่วยเหลือและสร้างจินตนาการที่งดงามมากออกมา นี่เป็นกองถ่ายที่มีขนาดใหญ่แต่มันไม่รู้สึกแบบนั้นเลย เดอนีมีภาพที่ชัดเจนและสร้างภาพยนตร์ให้ดูมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก นั่นคือสิ่งที่ฉันชื่นชมจริงๆ นี่คือภาพยนตร์ที่แท้จริง เขาคือคอหนังตัวจริงเลยค่ะ”

— ซูเฮลา ยาคอบ —

ชิชาคลี

เพื่อนที่สนิทและคบกันมานานที่สุดของชานี่ใน ซีตช์ทาเบรอ  ชิชาคลีเป็นคนตลก จริงใจกับเพื่อนไปจนถึงเพื่อนสนิทเฟรเมนทางตอนเหนือ และยังเป็นนักต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เธอเป็นคนพูดเสียงดังและเร็วพร้อมความจริงใจ แต่ก็รับฟังชานี่เมื่อเธอมีเรื่องต้องการระบาย ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างระหว่างความคิดแบบเก่ากับแบบใหม่ของผู้คน หรืความสนใจในตัวพอล อะเทรดีสที่เพิ่มมากขึ้น

เมื่อได้รับสายจากเดอนี วีลเนิฟว์เกี่ยวกับบทนี้…

“การได้เล่นในเรื่องนี้เหมือนฝันที่เป็นจริงสำหรับฉันเลยค่ะ นี่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ระดับโลกเรื่องแรกของฉัน ฉันเคยดูภาคแรกในโรงภาพยนตร์บนจอยักษ์ จากนั้นก็ได้รับสายจากเดวิสที่มาเสนอบทชิชาคลีให้ฉัน ตอนแรกฉันไม่อยากเชื่อเลย รู้สึกกังวลมาก รู้สึกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฉันรักเขามากในบทบาของผู้กำกับฯ ฉันเป็นแฟนคนหนึ่งของเขาเลยค่ะ แต่ฉันรู้สึกว่าโอเค นี่คืองานของเรา ฉันต้องมีความเป็นมืออาชีพ เขาบอกว่าให้ลองอ่านบทแล้วดูว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าฉันตื่นเต้นและดีใจมากเลยค่ะ”

ความประทับใจของเธอที่มีต่อฟรีแมนในภาคแรกOn her impressions of the Fremen from the first film…

“ฉันจำตอนที่ดูภาคแรกได้ค่ะ สิ่งแรกที่ประทับใจคือการถ่ายภาพที่สวยมากค่ะ และจำได้ว่าตัวเองมองเผ่าเฟรเมนแล้วคิดว่าพวกเขาเท่จัง เสื้อผ้าก็ดูน่าทึ่งและมีความฉลาดด้วย ฉันประทับใจในเรื่องราวที่มีความซับซ้อน ในเรื่องมีรายละเอียดหลายมุมทั้งปรัชญา ความเชื่อทางศาสนา สภาพแวดล้อม ธรรมชาติ และความตาย”

การแสดงประกบเซนเดย์อาในบทชานี่…

“เราสนุกกันมากเลยค่ะ!  หัวเราะกันตลอดเวลาเหมือนชานี่กับชิชาคลี แน่นอนว่าพอพวกเขาบอกแอคชั่นเราก็แสดงได้เลย! การทำงานร่วมกับเซนเดย์อามีความเป็นธรรมชาติมาก รู้สึกเหมือนไม่ใช่การแสดงเลยตอนที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษมากเลยค่ะ”

— สเตลแลน ซาร์สการ์ด —

บารอน วลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน

ครั้งนี้มีพลังอำนาจมากกว่าเดิม พันธมิตรของบ้านอาร์คอนเนนพร้อมจักรพรรดิ

ผู้จะทำให้เขาได้กลับไปปกครองอาร์ราคิส และอาจเป็น… ดาวดวงต่อไป

บารอน วลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน ผู้มีความโหดเหี้ยม เขายังคงมีความเล่ห์เหลี่ยมและมุ่งร้าย… โดยครั้งนี้อาจโหดเหี้ยมมากขึ้น เขาแทบหนีไม่พ้นจากความตายโดยน้ำมือของดยุคลีโต้ บารอนสะสมความโหดร้ายมากขึ้น… มีปัญหาทางจิต.. และแสดงให้เห็นถึงชัยชนะต่อบ้านอะเทรดีส เขามีความเลือดเย็นมากขึ้น ไร้ความปรานีต่อผู้อื่น… ไม่ว่าบ้านไหนจะขึ้นกับเขาก็ตาม ความคิดอันชั่วร้ายของบ้านฮาร์คอนเนนอาจเป็นจุดอ่อน แต่นั่นทำให้เขามีความโกรธแค้นมากขึ้น จนทำให้เขากลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าเดิม แน่นอนว่าเขามีความเด็ดเดี่ยวเมื่อเกิดการเรียกร้อง ทรายที่อุดมด้วยสไปซ์แห่งดูน ในเหตุจำเป็น ขณะที่จอมเผด็จการนี้ยังมีลมหายใจ ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงไหน ไม่มีใครอยู่รอดปลอดภัยได้… แม้แต่ญาติของเขาเองก็ตาม

การกลับมาเยือนโลกของ “ดูน”…

“นี่เป็นโลกที่น่าอัศจรรย์มากครับ น้อยครั้งที่เราจะพบเรื่องราวไซไฟที่ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาอื่น… ปกติจะเป็นช่วงเวลาอื่นแต่มีวัฒนธรรมแบบเดียวกัน มักจะเป็นวัฒนธรรมอเมริกันสมัยใหม่ แต่เป็นโลกแห่งอนาคตที่มีอุปกรณ์ล้ำสมัยต่างๆ แต่เรื่องนี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมยุคกลางในโลกของอนาคต เป็นการเข้าสู่อีกวัฒนธรรมอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งอันที่จริงมีหลายวัฒนธรรมด้วยเพราะวัฒนธรรมเฟรเมนคือวัฒนธรรมหนึ่ง ฮาร์คอนเนนคืออีกวัฒนธรรมหนึ่ง อะเทรดีสก็อีกหนึ่ง ผมคิดว่ามาเชียเวลลีเรียกฮาร์คอนเนนว่าพวกคุกคามอย่างเห็นแก่ตัว อย่างเราต้องการครองเมืองหนึ่งก็เข้าไปครองเมืองนั้น และฆ่าพวกขุนนางทั้งหมดเพราะพวกเขาจะต่อสู้กับเรา ซึ่งหากเราเป็นผู้นำ เราต้องมีใครสักคนฆ่าขุนนางทั้งหมด จากนั้นก็จัดการเขาทิ้งซะ

ภาพลักษณ์และความรู้สึกของภาคใหม่…

เป็นอีกครั้งที่เดอนีสร้างโลกที่มีความงดงามขึ้นมาได้เหมือนแต่ก่อน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่ใช่ความงดงามที่การตกแต่ง มันเป็นความงดงามอย่างมีนัยยะ ช่วยสร้างความกดดันแปลกๆ ให้ผู้ชมได้และเราก็อินไปกับบรรยากาศด้วย ในเรื่องต้องมีการต่อสู้แน่นอน และมีเรื่องชวนเครียดตลอดทั้งเรื่อง แต่มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแน่ครับผมมั่นใจแบบนั้น”

จุดยืนของบารอน วลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน ตัวละครของเขาในเรื่องนี้ …

“ในภาคที่แล้วผมเป็นฝ่ายชนะได้ครองอาร์ราคิส แนนอนว่าในฐานะของบารอนผมไม่ต้องทำอะไรเลย ผมไม่ต้องต่อสู้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี! ผมมีกองทัพคอยจัดการ นั่นคือการบงการที่แท้จริงของบารอน แค่ส่งผู้คนออกไปตายแทนเรา แต่หลังจากที่เกือบตายครั้งล่าสุด ผมอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก จึงมองหาว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งได้ดีที่สุด นั่นคือภารกิจสำคัญของผมในภาคนี้”

เบเน เจสเซริต น่าจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเรื่อง …

“สิ่งที่ผมคิดว่ามีความน่าสนใจมากที่สุดคืออิทธิพลของเบเน เจสเซริต เพราะความคิดที่เราแต่งงานเพราะความรัก มักใช้กับผู้ที่อยู่ชนชั้นล่าตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องที่เข้ากับยุคสมัยใหม่ หากเราสังเกตอาณาจักรโรมัน แม้แต่หญิงแกร่งที่ครองอำนาจก็แต่งงานด้วยเหตุผลทางการปกครอง เหตุผลที่สมกับความจริง เงินทอง แน่นอนว่าทุกวันนี้ก็มีผู้หญิงและผู้ชายที่แต่งงานกันเพื่อเงิน แต่ไม่เป็นที่ยอมรับในวัฒนธรรมอย่างในอดีต แต่เบเน เจสเซริตมีแผนการ ขณะที่จักรพรรดิและฮาร์คอนเนน ตัวละครบารอนของผมคิดว่า  ‘เราจะรักษาอำนาจไว้ได้อย่างไร’ เบเน เจสเซริตมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้นมาก ยาวไกลกว่าหลายพันปีด้วยซ้ำ นั่นคือการต่อสู้ด้วยพลังที่เกิดขึ้น และพวกเขาก็ควบคุมมันเอาไว้ พวกเขาถึงขั้นสร้างความเชื่อทางศาสนาไว้ในโลกต่งๆ ด้วยซ้ำ เพื่อที่พวกเขาจะใช้พลังความเชื่อทางศาสนานั้นได้ตามต้องการ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายร้อยปีก็ตาม เรียกว่าเป็นสังคมที่ซับซ้อนและมีความน่าสนใจ มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมหลายอย่างมาก

การกลับมาร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์…

การร่วมงานกับเดอนีเป็นเรื่องที่ดีมากครับ สไตล์การทำงานในฉากของเขาน่าอัศจรรย์ เขาไม่ใช่ผู้กำกับฯ ที่นั่งอยู่บ้นแล้วเป็นฝ่ยเลือกทุกรายละเอียด เขาต้องเห็นทุกอย่างด้วยตาในฉาก และในฐานะนักแสดงผมคิดว่ามันวิเศษมาก เพราะเราอยากให้บรรยากาศในฉากมีความสร้างสรรค์ เราไมอยากเติมสีสันลงไปในสิ่งที่ถูกออกแบบไว้หมดแล้ว เขาเป็นคนน่ารักกับทุกคน รับฟังทุกคน บรรยากาศในฉากเป็นมิตรมากเท่าที่ผมเคยเจอมา ไม่มีการแบ่งแยกและมีการเปิดกว้างมาก นับเป็นเรื่องที่ดีมากเลย ในฐานะนักแสดงเราอยากให้เขามีความสุข และผมคิดว่าทุกคนในฉากก็อยากให้เขามีความสุขด้วย เพราะเขาเป็นคนที่มีความสุขมากเลยครับ”

— ชาร์ล็อตต์ แรมพลิง —

แม่ใหญ่ โมเฮียม

พี่น้องผู้ลึกลับใช้พลังจิตและความเชื่อที่สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน

แนะแนวชะตาชีวิตมนุษย์จากเงามืด

ตัวละครหญิงอาวุโสผู้กุมความลับที่รู้จักในชื่อเบเน เจสเซริต ผู้ตัดสินความสัตย์ ไกอัส เฮเลน โมเฮียม ยังคงอาศัยคำนายและความเชื่อทางไสยศาสตร์รับมือกับประวัติศาสตร์มนุษย์ ทั้งด้านมืดและด้านจักรพรรดิ์ เธอมีความสุขกับความสำเร็จของเจ้าหญิงอิรูลาน บุตรสาวขององค์จักรพรรดิที่ชำนาญด้านยุทธศาสตร์ตามที่เธอสอนเอาไว้ ซึ่งบีส เกสซีริทยังคงเล่นเกมที่ต้องตั้งรับเป็นเวลานาน อยู่เคียงข้างผู้ที่สามารถควบคุมได้และคอยดูแลเส้นทางของมนุษย์ให้อยู่บนทางที่นำไปสู่แสงสว่าง

ตัวละครเบเน เจสเซริตและตัวละครแม่ใหญ่โมเฮียมของเธอในเรื่องใหม่…

“เธอมาจากคณะนางชี เราไม่แน่ใจจุดมุ่งหมายของพวกเธอนัก แม่ใหญ่เป็นผู้อบรมอิรูลาน ผู้จะสืบทอดตำแหน่งองค์จักรพรรดิ์หากแม่ใหญ่ไม่ผิดพลาด ฉันคิดภาพตัวเองมีอำนาจขนาดนั้น และถ่ายทอดทุกอย่างลงไปในบทซึ่งทำให้ฉันสนุกมากค่ะ

การร่วมงานกับนักแสดงผู้รับบทลูกศิษย์แม่ใหญ่ เจ้าหญิงอิรูลาน และ เลดี้ มาก็อต สำหรับฟลอเรนซ์ พิวห์ และ เลอา เซย์ดูซ์…

“นับเป็นเรื่องดีที่ได้ร่วมงานกับฟลอเรนซ์ พิวห์และเลอา เซย์ดูซ์ เพราะพวกเธออยู่คนละรุนกับฉัน เลยรู้สึกเหมือนตัวเองสอนนักเรียนแสนสวยทั้ง 2 ด้านท่วงท่าที่มีศิลปะและการใช้อำนาจเพื่อแน่ใจว่แม่ใหญ่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้”

การทำงานและความยิ่งใหญ่ของจินตนาการเดอนี วีลเนิฟว์ว์ …

“เดอนีใส่อารมณ์แบบบทกวีและปรัชญาลงไปในเนื้อเรื่อง ซึ่งเราพบได้จากการอ่านหนังสือของแฟรงค์  เฮอร์เบิร์ท ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีพลังสำหรับหลายคนมาก เพราะมันเป็นจินตนาการถึงบรรยากาศแต่งกวีอย่างยิ่งใหญ่ เดอนีเข้าถึงภาพต่างๆ และการบรรยายของเขาได้ เขาถ่ายทอดความลึกลับของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มันเหมือนกับละครโอเปราและมีความลึกลับมาก เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนแต่ก็ยังมีรายละเอียดซ่อนอยู่เบื้องหลัง เช่น เบเน เจสเซริต”

— ฮาเวียร์ บาร์เด็ม —

สติลการ์

ผู้มีความกล้าและความเป็นนักรบแห่ง ทะเลทรายลึก เตรียมจะลุกขึ้นสู้กับอำนาจมืด

ที่ทำลายโลกของพวกเขาอีกครั้ง

ผู้นำชาวเผ่าที่ลึกลับแห่งดูนหรือรู้จักในนามเฟรเมน สติลการ์พร้อมทำทุกทางเพื่อปกป้องชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน เขาเคารพในเผ่าตัวเอง เกิดมาพร้อมความฉลาดและผูกพันกับสายลมแห่งดูน เป็นผู้อยู่รอดในยุคแรกเริ่มที่สร้างโลกอันโหดร้ายในจักรวาลแห่งนี้เป็นบ้าน

ตอนนี้ผู้นำคนใหม่แห่งบ้านอะเทรดีสปกป้องเฟรเมน และการคุกคามของฮาร์คอนเนนยังคงปรากฏให้เห็นต่ออาร์ราคิส นักรบผู้ชาญฉลาดต้องรับหน้าที่อีกบทบาท เขาต้องทำหน้าที่พ่อของชายหนุ่มผู้นี้ที่ต้องแบกรับหน้าที่ของโลกและการอยู่รอด สติลการ์จะเป็นผู้ช่วยพอลพัฒนาความเป็นผู้นำอย่างที่เขาถูกกำหนดเอาไว้ เขาเชื่อมั่นในตัวพอล แม้ว่าความเชื่อมั่นนั้นจะทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายก็ตาม

ด้วยความอดทนของเขาทำให้สติลการ์ต้องมีอารมณ์ขันอยู่ในตัว การพูดตรงไปตรงมาของเขาคือสิ่งสำคัญในการเจรจาต่อรอง ซึ่งมักจะแฝงความรุนแรงเอาไว้เสมอ

การกลับมาร่วมงานใน “ดูน: ภาคสอง”…

“การกลับมาเยือนโลกของดูนเป็นเรื่องที่สนุก มีความสุข และเป็นการผจญภัยที่ดีมาก เพราะภาคนี้ยิ่งใหญ่ กว้างขึ้น ลงลึกรายละเอียดจากภาคแรกมากขึ้น และมันน่าทึ่งเสมอเมื่อได้เข้าใกล้เดอนี วีลเนิฟว์!”

การเปลี่ยนแปลงของตัวละครสติลการ์ของเขาในตอนใหม่…

“ตัวละครของผมมีความซับซ้อนมากในตอนนี้ และผมรักที่เป็นแบบนั้น สติลการ์พร้อมต่อสู้เพื่อชะตาชีวิตผู้คนของเขา เขามีความเชื่อศรัทธาในศาสนามาก และเขาหวังว่า เมสสิยาห์ จะมาช่วยเขาพาทุกคนไปสู่ที่ๆ ดีกว่าได้ เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเฟรเมนที่จะเป็นอิสระ นั่นคือเหตุผลที่สติลการณ์คาดหวังและศรัทธาในตัวพอลเต็มที่ นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกแชร์โดยเด็กรุ่นใหม่รวมถึงชานี่ พวกเขาต้องการใครสักคนจากเฟรเมนมาปลดปล่อยพวกเขา และนั่นคือสิ่งหนึ่งที่สร้างความขัดแย้งในเรื่อง ผมชอบความขัดแย้งระหว่างความเชื่อของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อนมาก”

ความสอดคล้องระหว่างเนื้อเรื่องกับโลกยุคปัจจุบัน…

“แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ทมีความล้ำสมัยในเรื่องสภาพอากาศ เขาแต่งถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจริงในยุคปัจจุบัน อาร์ราคิสคือสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบัน มันเป็นเรื่องน่ากลัวมากที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นในบรรยากาศทะเลทรายและผู้คนนับล้านเผชิญกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง ณ ตอนนี้ เรากำลังนำเสนอเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับความจริงมาก และจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้หากเราไม่ทำอะไรสักอย่างจริงจัง นับเป็นเรื่องสำคัญที่เรื่องนี้จะสะท้อนถึงผู้ชมในวงกว้างได้”

การกลับมาร่วมงานกับทิโมธี ชาลาเมต์ในเรื่อง  “ดูน: ภาคสอง” และความเห็นต่อการแสดงของชาลาเมต์ …

“ผมสังเกตเห็นความแตกต่างในตัวทิโมธี เขาถ่ายทอดบทบาทในรูปแบบที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะนั่นคือประเด็นของเรื่อง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของพอล ในภาคแรกเขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่นี้และในเรื่อง  ‘ดูน: ภาคสอง เขาได้ครองโลกใบนั้น ในฐานะของนักแสดงเขามีความยืดหยุ่นสูงมาก สามารถกระโดดจากดราม่าสู่คอมเมดี้ สู่ความโหดร้ายและความสดใสได้ในไม่กี่วินาที นับเป็นสิ่งงดงามที่ได้เห็นอะไรแบบนั้นในตัวเขา ตอนยังเด็กเขาทุ่มพลังในฉากอย่างเต็มตัว และทำให้ทุกคนรู้สึกดีกับเขาสุดๆ เลย”

การร่วมงานกับรีเบ็คก้า เฟอร์กูสันในบทเลดี้เจสสิก้าอีกครั้ง …

“เลดี้เจสสิก้ากำลังอยู่ในช่วงเข้าสู่การเป็นแม่ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมทุกความศรัทธาในวัฒนธรรมเฟรเมน นั่นหมายความว่าเธอต้องปล่อยลูกชายไปเดินตามชะตาชีวิตตัวเอง นี่เป็นเรื่องราวที่งดงามระหว่างคุณแม่กับลูกชายที่ต้องแยกจากกัน เพราะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่านั้นรออยู่ รีเบ็คก้าเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งมากครับ เธอถ่ายทอดความลึกซื้งและความซับซ้อนสู่บทนี้ได้อย่างงดงาม แถมเธอยังเป็นคนตลกมากด้วยทำให้ร่วมงานกันง่ายมาก”

ความท้าทายในการเรียนรู้ภาษาเฟรเมนที่เรียกว่าชาโคบซา…

“ผมรักมันเพราะทำให้เรามีอิสระในการทดลอง และสื่อความหมายผ่านคำที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราไม่เข้าใจมันเลยสักนิด มันเหมือนการแสดงสดด้วยเสียงประหลาดที่เราไม่คุ้นเลย มันคือการฝึกฝนด้านการแสดง มีการใช้ชาโคบซาในหนังเยอะมากอย่างที่ควรจะเป็น และผมคิดว่าเป็นความกล้าหาญมากที่เดอนีให้โอกาสเปิดใจคุยเกี่ยวกับวัฒนธรรมเฟรเมน และภาษาเฟรเมน ทำให้พวกเขามีโอกาสแสดงตัวตนออกมา”

การร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์ว์อีกครั้งในเรื่องนี้…

“เดอนีเป็นคนที่มีความสร้างสรรค์และพิถีพิถันมากครับ ผมโชคดีที่เขามอบโอกาสให้ผมมีส่วนร่วมในการผจญภัยครั้งนี้ รู้สึกเหมือนร่วมงานในหนังอินดี้เลยครับ มีโอกาสได้ทำการทดลองสิ่งใหม่ๆ เดอนีเคียงข้างเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเราสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระและมีความสนุก”

พูดคุยกับทีมผู้อำนวยการสร้างฯ

แมรี่ พาเรนท์  ·  เคล บอยเตอร์  · แพทริค แม็คคอร์มิค  ·  ทันย่า ลาพอยท์

การนำตอนต่อไปของ “ดูน” สู่จอภาพยนตร์ในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

แมรี่ พาเรนท์: “‘ดูน: ภาคสองเป็นเรื่องราวที่ต่อจาก ‘ภาคแรก’ แม้ว่าเดอนีจะฉลาดในการถ่ายทำอย่างที่เราเห็นในภาคแรก เขาหยิบเรื่องราวนั้นขึ้นมาเล่าต่อทันที แต่หากเราไม่ได้ดูภาคแรกจะเข้าใจเรื่องราวยากมาก มีหลายรายละเอียดที่เราพบจากภาคแรก แต่หากคุณไม่ได้ดู ‘ภาคสอง’ ก็มีความงดงามในตัวของมันเอง”

เคล บอยเตอร์: “ในเรื่องนี้คล้ายกับความฝันอยู่บ้าง เราสร้างภาคแรกขึ้นมาด้วยความตั้งใจว่าจะสร้าง ‘ภาคสอง’แต่ไม่มีการยืนยันอะไร แค่วางภาพเรื่องราวในเรื่องเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ หวังว่ามันจะมีประโยชน์และมันก็มีจริงๆ ตอนนี้รู้สึกโชคดีมากที่ได้ทุกคนกลับมาร่วมงาน ‘ดูน: ภาคสองมีเอกลักษณ์ในตัวทั้งความเป็นไซไฟ แฟนตาซี และทริลเลอร์ในเรื่องเดียวกัน รวมถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาติด้วย หากเราสร้างผลงานได้ผู้ชมต้องนั่งติดขอบเบาะแน่นอน มันจะเป็นความตื่นเต้นขณะรับชมที่ไม่เหมือนใครพร้อมความงดงาม ความรุนแรง การวางแผน ความสะเทือนอารมณ์”

ทันย่า ลาพอยท์: “ฉันตื่นเต้นมากค่ะที่ได้กลับมาร่วมงานใน ‘ภาคสอง’ เพราะ ‘ภาคแรก’ สร้างความตื่นเต้นเอาไว้มาก ถึงฉันจะคิดว่าตัวเองพร้อมกับเรื่องนี้แล้วเพราะเคยผ่านเรื่องแรกมาก่อน แต่มันกลับไม่มีอะไรเหมือนภาคแรกเลย! เต็มไปด้วยความน่าจดจำ มีความอลังการมากขึ้น และเรารู้สึกแค่ว่าเราทำให้มันมีขนาดยิ่งใหญ่อลังการมากขึ้นแค่นั้น ฉันพูดได้เลยว่ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาร่วมงาน และพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น จนสุดท้ายรู้สึกว่าตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ”

แพทริค แม็คคอร์มิค: “ในฐานะของผู้อำนวยการสร้างฯ ผมคิดว่าเราโล่งใจทุกครั้งที่แก้ปัญหาได้ แต่ในหลายครั้งต้องขอบคุณผลงานจากภาคแรกที่สร้างมาตรฐานระดับสูงเอาไว้และสานต่อในภาคนี้ ปัญหาต่างๆ ที่เราแก้ไขได้ พวกเขาพยายามถ่ายทอดออกมาหลายแบบ และนำเสนอสู่เรื่อง ‘ดูน’ เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงเรื่องราว ผมคิดว่าความขัดแย้งของตัวละครและปัญหาต่างๆ ล้วนปรากฏชัดเจน ฉะนั้นการได้ร่วมงานในภาคนี้ทำให้เราสร้างช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งขึ้นมาได้ใหม่ และเผชิญหน้ากับมันได้อย่างตื่นเต้น สำหรับผมการร่วมงานในโลกของ ‘ดูน’  สำหรับ ‘ภาคสอง’ มีความได้เปรียบมาก มันสร้างความกระตือรือร้นในสิ่งที่เราอยากทำงาน และสร้างเกมการวางแผนขึ้นมา ทำลายอุปสรรคต่างๆ ที่อาจขวางทางเราได้ สำหรับผมนั่นคือความท้าทายและเป็นความพึงพอใจ”

จุดหมายปลายทางการผจญภัยของพอล อะเทรดีส…

แมรี่ พาเรนท์: “ภาพยนตร์เกี่ยวข้องกับความรัก สงคราม ชะตาชีวิต ทางเลือกต่างๆ และฉันคิดว่าพอลอยู่บนเส้นางที่ต้องต่อสู้กับสิ่งที่เขาอยากจะเป็น มีประโยคที่ดีในเรื่องตอนเจสสิก้าพูดกับเขา ‘พ่อของเธอไม่เชื่อในเรื่องการแก้แค้น’ แต่การแก้แค้นคือสิ่งที่สำคัญสุดในความคิดของเขา ตั้งแต่ตอนแรกเริ่มของเรื่อง เราจะเห็นเขาโตขึ้น ตกหลุมรักชานี่ เชื่อมั่นในการยืนหยัดของเฟรเมน และมีช่วงที่สะเทือนอารมณ์ เขาต้องพบกับทางเลือกอันน่ากลัวเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าบางคนอื่นมองว่าเขายึดติดในอำนาจก็ตาม ในเรื่องจะเน้นเกี่ยวกับพลังอำนาจ ฉันคิดว่าชานี่น่าจะเป็นตัวละครเดียวที่ไร้เดียงสาที่สุด ไม่มีพลังอำนาจเป็นตัวผลักดัน เธอมีจุดยืนในเหตุผลและพัฒนามุมมองต่อโลกนี้ได้มาก”

ทันย่า ลาพอยท์: “‘ดูน ภาคสองเจาะลึกวัฒนธรรมของเฟรเมน เราเข้าไปสำรวจไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี การเมือง ความเชื่อศรัทธา โดยเราจะเข้าไปสัมผัสโลกของพวกเขาพร้อมกับพอลและเจสสิก้า เราจะได้พบกับการขี่ ขี่หนอน และการต่อสู้กับศัตรูรวมถึงอะไรอีกหลายอย่าง”

เคล บอยเตอร์: “สำหรับคอนเซ็ปต์ผลงานนี้ เราจะสัมผัสได้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นกลายเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งต้องดูน่าสงสารโดยที่ไม่ต้องพยายามเกินไป ในภาคแรกคือจุดเริ่มต้นเรื่องเศร้านั้น ส่วน ‘ภาคสอง’ คือช่วงที่เราเห็นเขากลายเป็นสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะเป็นได้ ทิโมธีเหมือนนักแสดงที่ผ่านอะไรมามากและมีความซับซ้อนในตัว บนหน้าจอพอลคือตัวละครที่เราจะรู้สึกอินและเหมือนถูกสะกดจิต จนเราอยากจะเดินตามเขา เหมือนเขาเป็นคนเดียวที่ปกป้องเราได้ และทิโมธีก็ถ่ายทอดบทนั้นได้อย่างสำเร็จ”

บทของชานี่ในเรื่องที่พัฒนามากขึ้น…

เคล บอยเตอร์:  “ชานี่กลายเป็นผู้ที่ทำให้เห็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากตัวพอล เราจะพาผู้ชมไปสัมผัสเธอหลากหลายมุมขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่งดงามในหนัง มันถูกออกแบบขึ้นมาตามที่เดอนีเขียนเอาไว้ ผมจำตอนที่เขาเกิดไอเดียนั้นได้ ผมรู้สึกว่าดีมากเลย มันสนุกมากที่ได้เห็นเขาถ่ายทอดได้อย่างเติมเต็มและคิดว่าผู้ชมจะรู้สึกแบบเดียวกัน”

แมรี่ พาเรนท์: “ชานีเป็นตัวละครหนึ่งที่แข็งแกร่งและมีความบริสุทธิ์มาก เธอเป็นตัวละครเดียวที่ไม่เสพย์ติดอำนาจ และสะท้อนถึงวิถีชีวิตเฟรเมนที่ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ทั้งต่อโลกและต่อธรรมชาติรอบตัว เธอเป็นนักรบแต่ไม่กระหายสงคราม แค่ต้องการปกป้องอาร์ราคิสและเฟรเมนจากฮอาร์คอนเน็นที่พยายามทำลายพวกเขามานานหลายปี ชานียังเชื่อมั่นในตัวเฟรเมนเอง ไม่ใช่ในตัวเบเน เจสเซริตอย่างที่สติลการ์เชื่อมั่น เธอต่างจากคนรุ่นก่อนที่เชื่อว่าเฟรเมนต่างหากที่จะช่วยเหลือกันเอง ไม่ใช่พลังจากภายนอกมาปกป้องพวกเขา”

ทีมนักแสดงผู้มีความสามารถ…

แมรี่ พาเรนท์: “ฉันเชื่อมั่นตั้งแต่แรกจากคนทำงานระดับเบื้องบน เดอนีและบรรยากาศที่เขาสร้างในฉาก ความรับผิดชอบของเขามันสร้างพลังให้ทุกคน เราโชคดีมากที่ได้กลุ่มนักแสดงมีความสามารถ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน รวมถึงสมาชิกใหม่ในครอบครัวอย่างออสติน บัตเลอร์, ฟลอเรนซ์ พิวห์, คริสโตเฟอร์ วอลเคน, เลอา เซย์ดูซ์ และอีกหลายคน ทุกคนทุ่มเทมากและบอกได้เลยว่าการสร้างหนังเหล่นี้คือประสบการณ์ที่ดีมากในชีวิตการทำงานของฉันเลยค่ะ”

เคล บอยเตอร์: “ทีมนักแสดงในเรื่องดูนเหลือเชื่อมากครับ อยู่ในคุณภาพระดับสูงเลยล่ะ และเรารู้สึกว่าเมื่อเราร่วมงานกันในเรื่อง ‘Part Two’ เรานำตัวละครสำคัญจากหนังสือมาพัฒนาให้งดงามเหมาะสำหรับภาพยนตร์ และเราถ่ายทอดไว้ใน ‘ภาคสอง’ นับว่าเป็นความท้าทายมหาศาล แต่เป็นความท้าทายที่ทำให้เรามีโอกาสคัดเลือกสิ่งใหม่ๆ ที่มีความมหัศจรรย์ นี่คือการรวมตัวของนักแสดงอย่างงดงาม และการได้ดูนักแสดงทั้งหลายร่วมงานกันเป็นเรื่องที่วิเศษมากครับ”

สถานที่ต่างๆ อันน่าทึ่ง…

แพทริค แม็คคอร์มิค: “ผมไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายถึงความตื่นเต้นในสถานที่ต่างๆ สำหรับเรื่อง ‘ดูน: ภาคสอง’ ในจอร์แดนผมรู้สึกเหมือนหินทุกก้อนเหมือนผลงานศิลปะที่มีรูปแบบของตัวเอง ถูกแกะสลักโดยธรรมชาติ แข่งขันสูสีโบสถ์ Medieval cathedrals หรือโบสถ์เรเนซองส์ทั่วยุโรปได้เลย เราอยู่ในสถานที่เรียกว่า Al Siq อยู่ใกล้  Wadi Araba ห่างจากพื้นที่ทั่วไปของเรานิดหน่อยซึ่งเป็น Wadi Rum และยังมีสถานที่น่าประหลาดมีหินรูปแบบแปลกๆ และหุบเขาอันน่ากลัว ภาพที่เห็นมีพลังมากนั่นคือทั้งหมดที่ผมคิดได้ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้อยู่ตรงนั้น”

ทันย่า ลาพอยท์: “เราใช้เวลาไม่กี่วันอยูที่อิตาลีช่วงแรกของการถายทำ เราไปสถานที่สุดพิเศษที่เรียกว่า Brion Sanctuary หรือ Brion Tomb ได้รับการออกแบบโดยคาร์ลอส สคาร์ปา และเป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งมาก มันน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์ที่สุด สร้างแรงบันดาใจให้สถาปัตยกรรมคาลาแดนในภาคแรกแต่เราไม่ได้ถ่ายทำกันที่นั่น สำหรับภาคสองแพทริซ เวอร์เม็ตต์นำไปเสนอและถามว่าจะเป็นไปได้ในการถ่ายทำไหม? พวกเขามักตอบปฏิเสธ ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนถ่ายทำที่นั่น แต่ครอบครัวไบรอันบังเอิญอ่านเรื่อง ดูน ของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท และรักภาพยนตร์ที่เดอนี วีลเนิฟว์กำกับฯ พวกเขาจึงตกงให้เราถ่ายทำภาพยนตร์ในสถานที่นี้ได้ เมื่อคุณเห็นแม่ใหญ่และเจ้าหญิงอิรูลานเดินผานสวนแห่งนี้ นั่นคือ Brion Sanctuary มีเพียงสิ่งเดียวที่เราปรับเปลี่ยนคือเฟอร์นิเจอร์บางอย่าง เพื่อสร้างเป็นห้องทำงานของเจ้าหญิงอิรูลาน แต่นอกนั้นไม่มีอะไรปรับเปลี่ยนเลย ที่นั่นมีความงดงามมาก และนับเป็นเรื่องดีที่เริ่มต้นเรื่องด้วยชาร์ล็อตต์ ฟลอเรนซ์ และเลอา เซย์ดูซ์ที่มีความสนิทสนมกัน”

แพทริค แม็คคอร์มิค: “เพราะสถานที่แต่ละแห่งทำให้เรามีโอกาสเก็บภาพที่น่าทึ่ง ได้ตัดสินใจใช้สถานที่พิเศษสำหรับฉากพิเศษที่น่าจะเกิดขึ้นได้ ผมไม่เคยร่วมงานในหนังเรื่องไหนที่ฉากหนึ่งมีการแบ่งย่อยเป็นหลายส่วนเลย เพราะทุกคนอยากใช้ประโยชน์จากสถานที่สุดพิเศษอย่างเต็มที่ การปรับเปลี่ยนของหิน ลักษณะดวงอาทิตย์ ขนของพวกมันดูสวยขึ้นด้วยพระอาทิตย์ในมุมที่เหมาะและช่วงเวลาที่ลงตัว เรียกว่าเป็นจิ๊กซอว์อันน่าเหลือเชื่อของทีมงานกองถ่ายที่ต้องนำมาประกอบกัน และพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ”

ฉาก ขี่หนอน ที่มีความคาดหวังอย่างสูง…

ทันย่า ลาพอยท์: “ใน ‘ภาคแรก’ ฉันเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร และช่วงที่เราทำการโปรโมทภาพยนตร์แมรี่พูดว่า ‘ทันย่า ภาคต่อไปคุณจะเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ นะ’ นับว่าเป็นเกียรติมากเลยค่ะ มันเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่ฉันรับไว้ด้วยใจ พอเราเริ่มเตรียมการถายทำก็มีคนแนะนำให้ฉันควบคุมกองถ่ายย่อยด้วย มันกลายเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์เลย แต่พอเราถึงขั้นตอนนั้นจริงๆ มันกลับเป็นเรื่องธรรมชาติมาก สำหรับฉันนับเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในชีวิตเลยค่ะ และมีความสุขที่ได้ร่วมงานกับเดอนีอย่างมีความสร้างสรรค์ สำหรับฉาก ขี่หนอน แน่นอนว่าไม่เคยมีใครขี่  sandworm มาก่อน ความท้าทายอย่างหนึ่งที่เดอนีพบคือต้องนึกภาพว่าเฟรเมนใช้เทคนิคแบบไหน สำหรับการคุมบังเหียนสัตว์ที่มีพลังบนทะเลทรายแบบนี้ สิ่งแรกที่สำคัญสุดคือฝ่ายจัดการเรื่องหนอนใช้เวลา 2 เดือนทำงานกันที่บูดะเปสต์ จากนั้นเราเดินทางไปที่ UAE เพื่อถ่ายทำกลางทะเลทรายจริงพร้อมภูเขาทรายและการพังทลายของมัน เรามีฉากที่พอลเกาะโหน หนอนด้วย จากนั้นเราย้ายไปถ่ายทำกันบนวงแหวนที่สามารถขยับแท่นและหมุนทิศทางได้ เราบังคับทิศทางให้ลาดเอียงได้ เล่นกับช่วงเวลาเหล่านั้นได้เต็มี่ ทำให้รู้สึกว่าอันตรายเวลาคุมบังเหียนเป็นครั้งแรกเหมือนพอล อาทรีดีสในเรื่องได้ มันมีการสร้างความตื่นเต้นซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทีมงานสัมผัสความรู้สึกนั้นได้เมื่อมันมาถึงจุดที่ลงตัว เพราะเรารู้สึกได้ว่าอะดรีนาลีนพุ่งพล่าน เรารู้ว่าถ้าเราตื่นเต้นความรู้สึกนั้นจะส่งถึงบนหน้าจอ และทุกคนในโรงก็จะรู้สึกแบบเดียวกัน”

”โรงเรียนฝึก” ขี่หนอน ของเดอนี วีลเนิฟว์ …

ทันย่า ลาพอยท์: “นักแสดงทุกคนที่ต้อง ขี่หนอน ในเรื่องต้องผ่านโรงเรียนฝึกขี่หนอนของเขา เพราะไม่มีใครสอน ขี่หนอน ได้ดีไปกว่าเขาแล้ว เพราะเขาโตมาพร้อมกับหนังสือ เขารู้ว่ามันต้องดูเป็นแบบไหนจากจินตนาการของเขา และเขาต้องสาธิตวิธีการขี่หนอนให้ดู ต้องจับตะขอตามตำแหน่งเอาไว้ มือต้องอยู่ตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่ไกลหรือใกล้เกินไป เขารู้ตำแหน่งที่เหมาะสมและฉันรู้สึกว่ามันดูมีพลังมากค่ะ”

เดอนี วีลเนิฟว์ ผู้กำกับฯ ที่มีความเด็ดขาดในภาพยนตร์…

แมรี่ พาเรนท์: “เป็นเรื่องยากมากที่จะนึกภาพคนอื่นมากำกับฯ เรื่องนี้ได้ หนังเรื่องนี้ต้องทำงานในหลายระดับที่ต่างกัน ทั้งระดับตัวละครจนไปถึงระดับผลงานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เราถ่ายทำทั้งเรื่องสำหรับระบบไอแมกซ์ ฉันคิดว่ามีผู้สร้างภาพยนตร์ไม่กี่คนที่ทำงานในหลายระดับด้วยความพยายามได้อย่างเดอนี เขายังเป็นผู้ชำนาญด้านการสร้างโลกด้วยค่ะ เขามักจะสร้างโลกที่ดูห่างไกลให้สมจริงและสัมผัสความรู้สึกได้ มีหลายอย่างที่ถ่ายทำจริงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อเดอนีมาก และรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า การออกแบบฉาก รายละเอียดทุกอย่างมารวมกันแล้วดูสมจริง ฉันคิดว่าเดอนีสร้างผลงานที่งดงามเอาไว้ดีมากค่ะ หนังเรื่องนี้แทบจะดูเป็นหนังสงครามได้เลย ขณะเดียวกันก็มีความเป็นภาพยนตร์ผจญภัยฟอร์มยักษ์ ให้อารมณ์แบบเชคสเปียร์ มีเรื่องราวความรัก ทุกความรู้สึกและความเข้มข้นในเรื่องนี้เหลือเชื่อมาก และเขาได้สร้างมันขึ้นมาด้วยกันอย่างงดงาม”

ทันย่า ลาพอยท์: “ฉันคิดว่าไม่มีใครสร้าง ‘ดูน’ ขึ้นมาได้ เพราะจินตนาการของเดอนีมีความถูกต้องแม่นยำมาก ตั้งแต่ ‘ภาคแรก’ จนถึง ‘ภาคสอง’ เขารู้ตัวเองชัดเจนว่าต้องการอะไร เขาเข้าใจฉากต่างๆ ได้ดี รู้ว่าตรงไหนที่ต้องเคารพหนังสือ และตรงไหนควรสร้างสิ่งที่ต่างออกไป แต่ยังคงเคารพในรายละเอียดต่างๆ จากไอเดียต้นฉบับของแฟรงค์ เฮอร์เบ็ท เราอยู่ในโลกของ ‘ดูน’ มานาน 5 ปีทุกวัน ไม่มีวันไหนที่กลับบ้านแล้วไม่พูดถึงเรื่อง ‘ดูน’ เลยค่ะ มันอยู่ในความคิดเราตลอด มันเหมือนการเข้าสู่โลกใบนี้อย่างเต็มตัว แต่ฉันคิดว่าสำหรับเดอนีแล้วมันเป็นเส้นทางที่ยาวนานกว่านั้น เพราะเขาอ่านหนังสือมาตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เขามีจินตนาการต่างๆ มานานมาก หนังเรื่องนี้ถูกบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากที่เรานำมาฉายบนจอภาพยนตร์ได้”

ศิลปินสุดอัจฉริยะผู้สร้างโลกของ “ดูน: ภาคสอง”…

แพทริค แม็คคอร์มิค: “มันวิเศษมากครับที่ได้เห็นว่าเกร็ก เฟรเซอร์ใส่ผลงานเข้าไปในการวางแผนเยอะแค่ไหน เขาศึกษาเรื่องแสงอาทิตย์และลองเก็บภาพสถานที่ต่างๆ เขาสร้างสถานที่ต่างๆ ที่มีความซับซ้อนในระบบซอฟต์แวร์ที่ทำให้เขารู้ว่าแสงแต่ละช่วงเวลาของวันจะต่างกันอย่างไร ทำให้เขาวางแผนงานได้อย่างชัดเจน ผมมองดูแล้วพูดว่า ‘ทุกอย่างมันลงล็อคกันในจิ๊กซอว์นี้ได้อย่างไร?’ พวกเขาสร้างความงดงามได้อย่างน่าประหลาดใจ และศิลปินเหล่านี้มีฝีมือมาก มีความมั่นใจสูงมากในสิ่งที่พวกเขาต้องการทำให้สำเร็จ ยากที่จะเถียงการทำงานได้เลย เพราะพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง สร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยมาตรฐานที่สูงมากตั้งแต่เรื่อง ‘ดูน’ จนมาถึงเรื่อง  ‘ดูน: ภาคสอง’ เป็นความสำเร็จที่เหลือเชื่อทั้งในด้านภาพและรายละเอียดด้านอื่น”

แมรี่ พาเรนท์: “เราไม่เคยเห็นภาพทั้งโลกแบบนี้มาก่อน เราได้เห็นหลายด้านของอาร์ราคิสแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราได้เข้ไปอยู่ในโลกของเฟรเมน เราอยู่ในโลกของจักรพรรดิ เราได้เห็นเกดิไพรม์ ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เดอนีสร้างฉากการต่อสู้ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เรามีอาวุธรูปแบบใหม่ เราไม่เคยเห็นการต่อสู้กับหนอนมาก่อนแต่ตอนนี้ได้เห็นแล้ว ที่สำคัญคือมันมีเอกลักษณ์และพิเศษมาก ในแบบที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมและต่างเคารพกัน ผมคิดว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างผลงานตัวเองออกมาดีที่สุดด้วย”

เคล บอยเตอร์: “มันเหมือนความฝันที่เฝ้าดูทีมงานอยู่เบื้องหลังจินตนาการของเดนี เขาท้าทายทุกคนให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ทุกคนคือส่วนสำคัญในทีมสร้างสรรค์ ทั้งทีมงานและนักแสดงเข้าใจเรื่องนั้นดี และเรามองเห็นได้เพราะพวกเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เดอนีได้ตามที่เขาต้องการ และเราไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องง่ายในเรื่องนักแสดง แต่น่ารักและให้ความร่วมมือกันดีมาก”

ทันย่า ลาพอยท์: “จำเป็นมากค่ะที่ต้องมีช่างฝีมือทีมนี้กลับมาร่วมงานในเรื่อง ไม่ใช่เพราะพวกเขากลายเป็นเพื่อนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเราได้รับความช่วยเหลือดีมาก เรามีเวลาเตรียมตัวสั้นมาก เพราะความจริงคือ ‘ดูน’ โชคดีที่ได้เข้าชิงรางวัล Oscars ถึง 10 รางวัล ฉะนั้นทุกการโปรโมทภาพยนตร์เกิดขึ้นช่วงนั้นจนกระทั่งถึงงาน Oscars เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เราเตรียมงานสำหรับภาคสองเช่นกัน เรามีเวลาน้อยมากจริงๆ เพราะเราได้รับข่าวดีนี้ตอนที่ฉาย ‘ภาคแรก’”

— เกร็ก เฟรเซอร์ —

ผู้กำกับภาพ

เมื่อรู้ว่าเขาจะได้กลับมาเยืนออาร์ราคิสและมีอะไรมากกว่านั้นในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“‘ภาคแรก’ คล้ายกับความฝัน เป็นประสบการณ์หนึ่งที่พบได้ไม่บ่อย พอรู้ว่าเราจะได้กลับมาร่วมงานใน ‘ภาคสอง’ พร้อมกับทีมงานเดิมเป็นส่วนใหญ่ มันเหมือนกับฝันที่เป็นจริงเลยครับ เราได้สร้างผลงานร่วมกันอีกครั้งซึ่งเป็นประสบการณ์ที่พบได้ยากมากในวงการนี้ แน่นอนว่าความสำเร็จจากภาคแรกทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น เราเลยตัดสินใจว่า ‘ภาคสอง’ ต้องมีความแกร่งขึ้นมาก และการทำงานก็ต้องชัดเจนขึ้น เราเลือกใช้แสงไฟและเทคนิคกล้องแบบที่ไม่ได้ใช้ในครั้งแรก เช่น เราเลือกจะเปิดตัวหนังเรื่องนี้กลางจันทรุปราคา เนื้อเรื่องดำเนินต่อจากตอนจบเลยทันที โดยเวลาผ่านไปเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น พอล เจสสิก้า และเฟรเมนถูกฮาร์คอนเนนไล่ล่ากลางจันทรุปราคาบนอาร์ราคิส ทำให้มีบรรยากาศที่น่ากลัวและใช้โทนสีแดง-ส้ม”

การเลือกโทนสีสำหรับเรื่องนี้…

“การเลือกโทนสีสำหรับโลกใบนี้ทำให้เราได้คิดนอกกรอบ เริ่มจากฉากจันทรุปราคาที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เราเริ่มเล่นกับโทนสีได้โดยใช้อินฟราเรดฟิลเตอร์ ทำให้ลบแสงจากกล้องออกไปและลบอีกหลายโทนที่กล้องมองเห็น ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ใช่โลกใบนี้เลย”

กล้องที่เขาเลือกใช้ในเรื่องนี้…

“เราใช้กล้องที่ต่างกัน 2 ตัวคือ Alexa LF Mini และ Alexa 65 เรารู้ว่าเรื่องนี้จะมีฟอร์แม็ตขนาดใหญ่ ทั้งเรื่องถ่ายทำสำหรับไอแมกซ์ ฉะนั้นการใช้ฟูลเฟรมโดย Alexas จะทำให้เราเก็บภาพได้กว้างที่สุดเท่าที่ทำได้ และได้เห็นโลกใบนี้อย่างกว้างใหญ่ ความสำเร็จของฉากต่างๆ ในไอแมกซ์ใน ‘ภาคแรก’ พลังจากฟอร์แม็ตนั้นและสิ่งที่ผู้ชมได้สัมผัสตอนอยู่ในโรงภาพยนตร์ คือสิ่งที่ทำให้เดอนีและผมถ่ายทำทั้งเรื่องอย่างพิถีพิถันเพื่อไอแมกซ์ในสัดส่วนเท่านั้นเลย”

การสร้างวิชวลดาวบ้านเกิดของฮาร์คอนเนน เกดิไพรม์…

“เดอนีบอกกับผมตั้งแต่แรกว่าเราต้องการบรรยากาศนอก  เกดิไพรม์ ช่วงกลางวันเพื่อให้รู้สึกว่าต่างจากอาร์ราคิส  สถานที่ภายนอกต้องต่างจากที่เราเคยเห็นมา สิ่งหนึ่งที่เราคุยกันคือเรื่องไอเดียของสภาพไร้แสง ไม่ใช่แสงในหลุมดำ แต่เป็นแสงที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราต้องใช้เทคนิคที่ผมสร้างด้วยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ โดยใช้อินฟราเรดบนเซนเซอร์ของ VLF และเราใช้ฟิลเตอร์ตัดแสงที่มองเห็นบนหน้าเลนส์ หมายความว่ากล้องจะไม่เห็นแสงที่มองเห็นได้ เราใช้ฟิลเตอร์ตัดอินฟราเรดจากกล้อง ทุกอย่างที่กล้องเห็นจะเป็นภาพอินฟราเรด ซึ่งนี่จะเป็นแสงบริเวณภายนอกของเกดิไพรม์”

การร่วมงานกันอีกครั้งกับผู้ออกแบบฉาก แพทริซ เวอร์เม็ตต์ …

“แพทริซ เวอร์เม็ตต์น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยพบม สิ่งที่เขาคิดค่อนข้างจะน่ากลัวสักหน่อย เพราะเขามีพรสวรรค์ในการสร้างความเหนือธรรมดาขึ้นมา การออกแบบของเขาเกินกว่าการออกแบบสิ่งใด แม้แต่ ‘ภาคแรก’ และผมรู้สึกทึ่งกับการออกแบบรวมถึงการทำงานของพวกเขามาก สำหรับ ‘ภาคสอง’ เหลือเชื่อสุดๆ จนต้องหยิกตัวเองตามประสาผู้กำกับภพา เพราะการได้อยู่ในฉากแบบนี้เหมือนกับฝันที่เป็นจริงเลย ผลงานและคอนเซ็ปต์ของเขาน่าทึ่งตั้งแต่ช่วงที่เป็นเพียงภาพวาด ทีมงานกับผมรู้สึกได้โชคใหญ่เพราะการออกแบบของแพทริซและทีมงานของเขาเลยครับ”

แสงไฟสำหรับฉากเกี่ยวกับเฟรเมน…

“มันเป็นการใช้แสงที่สนุกในถ้ำที่ซ่อนอยู่ของเฟรเมน เพราะพวกเขามีโลกที่สว่างสดใส แต่เราพบว่าถ้าเราใช้แสงมากเกินไปจะรู้สึกโรแมนติกและสวยไปหน่อย การจัดแสงขึ้นมาจึงเกิดจากช่องโหว่ในก้อนหินที่แสงส่องผ่านได้ คล้ายกับที่อยู่ของอาเทรดีสใน ‘ภาคแรก’ หน้าต่างทุกบนจะมีรอยแคบยาวที่แสงสามารถส่องผ่านได้ แต่ลมหรือพายุทรายไม่สามารถทะลุผ่านได้ สำหรับถ้ำเฟรเมนค่อนข้างมีความท้าทาย เพราะเราต้องการฉากที่มีความสูง 300 ฟีต แต่ไม่มีพื้นที่พอให้เราถ่ายทำแบบนั้นได้ ทีมงานด้านแสงไฟของเราจึงใช้วิธีจัดเส้นแบ่งแสงขึ้นมา แต่ให้มีแสงอ่อนบนพื้นที่ไม่ดูสว่างจ้าเกินไป สำหรับการสร้างกลุ่มไฟขึ้นมา เราใช้วิธีจัดไฟเป็นแถวด้วยโทนอ่อน ต้องใช้การทดสอบและอาร์แอนด์ดีเยอะมากในการจัดไฟขึ้นมา”

การสร้างแสงไฟขึ้นมาตั้งแต่ดวงอาทิตย์บนดาวที่แห้งแล้งของอาร์ราคิส…

“สำหรับการสร้างดวงอาทิตย์ของเรา แหล่งกำเนิดแสงสว่างหลักของเราคือ Creamsource Vortex ที่มาพร้อม  Vortex8  ซึ่งเป็นแสงที่สว่างมากแต่มีขนาดเล็ก เราโชคดีที่ได้มาครองหลายตัว ทำให้เคลื่อนย้ายจากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่งได้ และสร้างแหล่งพลังแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ไปจนถึงแสงพระอาทิตย์ที่อ่อนลงได้”

— แพทริซ เวอร์เม็ตต์ —

ผู้ออกแบบฉาก

บรรยากาศธรรมชาติที่ยากขึ้นในตอนใหม่…

“‘ดูน: ภาคสอง มีความยิ่งใหญ่กว่า ‘ภาคแรก’ ด้วยฉากที่มากขึ้นกว่า 40% เราส่งความท้าทายให้กันตลอดเวลา และเรารักเดอนีสุดหัวใจ เราพร้อมอยู่ที่นั่นเพื่อสนับสนุนจินตนาการของเขา”

การร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์ในการตัดสินใจเรื่องภาพลักษณ์ของภาพยนตร์ …

“เราคิดถึงเรื่อง  ‘The Godfather Part Two’ และ ‘The Empire Strikes Back’ เพราะสำหรับผลงานแฟรนไชส์การที่จะอยู่รอดได้ต้องไม่นำเสนอแต่สิ่งเดิม เราต้องทำอะไรเหนือกว่าที่เคยทำมาก่อน ‘ภาคสอง’ ต้องยิ่งใหญ่และสนุกกว่าเดิม สร้างจากสิ่งที่เราได้เรียนรู้และสัมผัสมาจากในเรื่อง ‘ดูน’” 

การวาดภาพหน้าตาโดยรวมและฉากต่างๆ ที่เขาออกแบบในภาคแรก …

“ไบเบิลของเราคือหนังสือภาพวาดและรูปถ่ายจากผลงานของเราในเรื่อง ‘ดูน’ นับเป็นแหล่งอ้างอิงอันล้ำค่าของผมสำหรับการสร้างโลกของ ‘ดูน: ภาคสอง’ หนึ่งในสิ่งแรกที่เราทำอีกครั้งคือกรสร้างโมเดลของฉากใหม่ขึ้นมา เพื่อช่วยให้แผนกอื่นโดยเฉพาะเกร็ ฟราเซอร์และฝ่ายจัดแสงไฟได้เห็นภาพ”

การคิดโทนสีขึ้มาสำหรับหนังเรื่องใหม่…

“ผมได้แรงบันดาลใจเรื่องสีจากสถานที่แปลกๆสำหรับดาวของฮาร์คอนเนน เกดิไพรม์ผมได้แรงบันดาลใจจากถังบำบัด ดูจากภายนอกผมเลือกใช้พลาสติกสีดำเข้มพร้อมด้วยไฮไลท์สีเงินบางช่วง เดอนีและเกร็กใช้กล้องอินฟราเรดเพื่อสร้างบรรยากาศของที่นั่นให้สมจริง นั่นหมายความว่าสีดำในบางช่วงอาจเปลี่ยนเป็นสีขาวในภาพยนตร์ได้ ผมต้องพิจารณาเรื่องนั้นด้วย สำหรับอาณาจักรที่มีบรรยากาศต่างจากที่อื่นในเรื่อง ผมใช้วัสดุเป็นไม้และใช้สีเทาของปูนซีเมนต์ ส่วนอาร์ราคิสจะใช้สีเบจ เหลือง ส้มแดง และชมพูที่สะท้อนการเต็มไปด้วยทราย”

การกลับมาเยือนคาร์โล สคาร์ปาที่สร้างแรงบันดาลใจด้านความงามให้เขาสำหรับ สวนในวังจักรวรรดิ ของจักรพรรดิ์…

“คาร์โล สคาร์ปาสำหรับผมเหมือนกับพระเจ้าเลยครับ เขามีอิทธิพลต่อการออกแบบ ‘ภาคแรก’ มาก เราสังเกตเพื่อนำมาสร้าง สวนในวังจักรวรรดิ สำหรับเรื่องนี้ ผมเอาบอร์ดที่วาดภาพอ้างอิงให้เดอนีดู ตอนเขาเห็น Brion Cemetery เขาพูดว่า ‘นั่นเหมือนโลกของเราเลย มันมีความพิเศษ ลองถ่ายทำที่นั่นกัน’ ที่นั่นไม่เคยถูกใช้เป็นฉากของภาพยนตร์มาก่อน ครอบครัวไบรอันนึกถึงเรื่อง ‘Star Wars!’  แต่พอลูกชยาของไบรอันรู้ว่าเป็นเรื่อง ‘ดูน: ภาคสอง’ และได้พบกับพวกเราเขาก็ตกลง มันค่อนข้างมีความพิเศษ เป็นสถานที่แห่งแรกที่เราไปเยือนกันและเดินเข้าไปแล้วร้องไห้ ผมได้พบกับลูกชายของคาร์ลอส สคาร์ปาที่ชื่อโทเบียส ทุกอย่างล้วนได้แรงบันดาลใจจากสคาร์ปา ในเรื่อง ‘ดูน’ ทุกอย่างทำให้รู้สึกได้จริงๆ”

การเลือกสถานที่ใหม่ๆ บนพื้นที่อันคุ้นตา เพื่อขยายโลกของ ‘ดูน’ ในภาพยนตร์เรื่องใหม่…

“ที่จอร์แดนพวกเรารัก Wadi Rum จากภาคแรก แต่เดอนีและผมค้นหาสถานที่ต่างออกไป เราอยากได้มุมมองที่แตกต่าง รวมถึงเรื่องขอบเขตและองค์ประกอบโดยรวมที่ต่างกัน ที่นั่นมีน้ำฝนปริมาณเยอะมากเมื่อปี 2020 กลางทะเลทราย ทำให้เกิดพื้นที่สีเขียวเยอะมากในบริเวณที่เราเคยใช้มาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าบนอาร์ราคิสไม่มีสีเขียวเลย!”

ความท้าทายของการดักลมสำหรับการถ่ายทำที่ Wadi Rum…

“รูปแบบของหินมีความงดงามมาก Wadi Rum ในจอร์แดนเป็นสถานที่หนึ่งทีเราเลือกใช้ ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วทำให้เก็บภาพท่ามกลางบรรยากาศที่มีลมพัดได้ จากนั้นสร้างหยดน้ำที่ไหลเป็นหยดลงมา โดยมีการสร้างขึ้นที่บูดะเปสต์และขนส่งโดยเฮลิคอปเตอร์ เพราะแต่ละชิ้นมีน้ำหนัก 400 กิโล ผู้ชำนาญด้านคอนเซ็ปต์ของเราได้ออกแบบแบบจากแมงมุมที่ผมให้ใช้เป็นแหล่งอ้างอิง ช่วงที่แมงมุมกำลังสร้างใยขจองมันเอง ช่วงด้านล่างของที่ดักคือส่วนท้องของแมงมุม”

บรรยากาศของเฟรเมน…

“ตามที่เขียนไว้บนผนัง เฟรเมนมีการเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของตัวเอง จากนั้นมีไอเดียว่าใน ซีตช์ ควรมีทรายจำนวนมาก เพราะนั่นเป็นวัฒนธรรมที่ค่อยๆ ถูกฝัง มันเหมือนการเปรียบเทียบของฉากนั้น และยังมีถ้ำนกที่ได้แรงบันดาลใจจากหีบเพลงเป่า และด้านในจะเหมือนลายนิ้วมือของมันที่เป็นกรบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ คนเหล่านี้เป็นใครด้วยลายนิ้วมือขนาดใหญ่”

การสร้าง วิหารของผู้สร้าง และ  ถังเก็บวิญญาณ…

“วิหารของผู้สร้าง จะเป็นวงกลม 2 วงที่ทำให้เกิดสัญลักษณ์แห่งนิรันดร์เป็นเลข 8 วงกลมสองวงมีขั้นบันได ทรายคือความตาย น้ำคือชีวิต พอลตัดระหว่างโลกทั้ง 2 ใบเมื่อเขาดื่มน้ำแห่งชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจถึงเรื่อง ถังเก็บวิญญาณ ของเฟรเมน พวกเขามีการสะสมน้ำจากความตายกันมานานหลายพันปี สิ่งสำคัญคือต้องแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนที่พวกเขาไม่เคยหยุด ความตายเป็นส่วนหนึ่งของการคงความฝันสิ่งที่เฟรเมนต้องการเอาไว้ ซึ่งนั่นคืออาร์ราคิสที่เป็นสีเขียวขจี”

การเปลี่ยนห้องแสดงนิทรรศการสู่โรงถ่าย…

“เนื้อเรื่องของ  ‘ดูน’ และโดยเฉพาะ ‘ดูน: ภาคสอง’ มีความตื่นเต้นขึ้น ฉะนั้นหลายฉากต้องสะท้อนถึงจุดนั้น เรามีโรงถ่ายที่ไม่ใช่โรงถ่ายซึ่งเรียกว่า Hung Expo และห้องจัดแสดงนิทรรศการที่บูดะเปสต์ ที่นั่นมีพื้นที่ 103,000 ตารางฟีต และมีความสูง 45 ฟีต ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเรามาก บวกด้วยพื้นที่อีก 58,000 ตารางฟุตที่นั่นอีก ทำให้เรามีโอกาสสร้าง Giede Prime ในระดับของเราและกระโจมขนาดใหญ่ รวมถึงอีกหลายฉากด้วย แม้ว่าบางส่วนจะใหญ่เกินไป แต่เราเรียนรู้เทคนิคจาก ‘ภาคแรก’ ที่จัดการได้มากกว่าพื้นที่จริงมีอยู่!”

การออกแบบหนอน…

“ผิวของหนอนอิงจากทะเลสาบที่แห้งขอด ลักษณะเหมือนผืนดินที่แห้ง ซึ่งผมคิดว่ามันเหมาะมาก เราออกแบบเอาไว้สำหรับ ‘ภาคแรก’ และมันดูลงตัวมาก เราเลยอยากได้ลักษณะแบบเดียวกันใน ‘ภาคสอง’”

ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์สุดอัจฉริยะ พอล แลมเบิร์ท…

“สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับพอล แลมเบิร์ทคือการจินตนาการสร้างทุกสิ่งให้เกิดขึ้นเสมอ เขาคือนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องและหลุดโลก!” 

การร่วมงานกับวีลเนิฟว์และหวัหน้าแผนกอื่นๆ…

“พวกเราเป็นทีมที่รักความเพอร์เฟ็กต์ และการร่วมงานกันค่อนข้างชัดเจนเพราะเราเป็นเพื่อนกัน เราเคารพกันและเคารพในผลงานกันและกัน ผมคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นบนหน้าจอ ทุกอย่างมาจากเดอนี ไม่มีใครพยายามทำตัวฉยเดี่ยว ทุกคนจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ผมคิดว่านั่นคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความสำเร็จในเรื่องนี้”

— โจ วอล์คเกอร์ —

ผู้ลำดับภาพ

การค่อยๆ เจาะลึกลงสู่ “ดูน: ภาคสอง”…

“เมื่อนานมาแล้วผมได้อ่านบท ‘ภาคสอง’ เดอนีคุยกับผมเรื่องแฟชั่นที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จากนั้นผมอ่านบทและรู้สึกทึ่งกับความยิ่งใหญ่ในเรื่อง มันเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ใหญ่กว่า ‘ภาคแรก’ ในหลายด้าน ทีมนักแสดงขนาดใหญ่ และมีฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่มาก ส่วนใหญ่ที่เราคุยกันจะเกี่ยวกับจังหวะที่เร็วขึ้น ไม่ใช่แค่ในช่วงการตัดต่อแต่รวมถึงวิธีการถ่ายทำฉากนั้นด้วย ในฐานะของผู้ลำดับภาพเราปรับความรวดเร็วในฉากได้ แต่หากเราทำงานอย่างพิถีพิถันในเนื้อเรื่องจะเห็นภาพได้ตลอด จังหวะของภาพยนตร์ต้องมีความแน่นอนในฉาก เราคุยกันว่าเขาจะควบคุมฉากแอ็คชั่นอย่างไร เขาเตรียมความพร้อมให้ผมหลายด้านอย่างจัดเต็มมาก ไม่ใช่แค่ปริมาณฉากแอ็คชั่น แต่รวมถึงความเข้มข้นในการแสดงที่มาจากการถ่ายทำด้วย เราใช้เวลากับตัวละครมากขึ้น เราต้องมีความใกล้ชิดมากขึ้นด้วยเช่นกัน”

สไตล์ของเดอนี วีลเนิฟว์เหมาะกับแนวไซไฟอย่างไร…

“การเตรียมความพร้อมของเดอนีน่ากลัวมาก มุมหนึ่งเขาเตรียมความพร้อมสำหรับ ‘ดูน’ มานานกว่า 30 ปี นั่นไม่ใช่การบอกแค่ว่าเป็นการเตรียมพร้อมมาอย่างดี เพราะตลอดการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาก มีบางฉากที่เหมือนเดิมจากครั้งแรก แต่ก็มีส่วนอื่นที่เกิดจินตนาการใหม่ขึ้นตลอดทั้งปี อะไรที่ดูดีแล้วเขาจะไม่กลับไปยุ่งกับมันอีก ตัวอย่างหนึ่งคือการพัฒนาตัวละครเฟย์ด-รอธาของเขา สำหรับผมมันทั้งช็อคและเซอร์ไพรส์ ผมพบกับออสตินในสถานที่จริงมีการแต่งตัวและแต่งหน้าเรียบร้อย เขาต่างจากออสตินที่เคยเห็นมาก่อนอย่างสิ้นเชิง เขาดูน่ากลัวไปเลย การควบคุมบรรยากาศและท่าทางของเขาเหมือนแวมไพร์ที่น่ากลัวมาก พวกเขาสร้างบางอย่างขึ้นมาร่วมกันได้อย่างไม่ธรรมดาเลย”

ความสำคัญในการอยู่ร่วมระหว่างการถ่ายทำ…

“ห้องตัดต่อของผมคือสถานที่ถ่ายทำนั้นเลย แม้ว่าผมจะเข้าฉากจริงแค่ตอนที่จำเป็น แต่ผมต้องสนใจรายละเอียดมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมต้องคอยติดต่อกับหลายแผนกและนำผลงานการตัดต่อที่คืบหน้าเสนอต่อเดอนี โดยเฉพาะฉากที่ถ่ายทำกันอย่างยาวนาน เช่น ฉากขี่หนอน บางครั้งผมจะให้คำแนะนำหากคิดว่าควรเพิ่มอะไรเข้าไป มันเป็นสิ่งที่พบได้ยาก เรามีตารางการสร้างวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่จำกัดมากสำหรับหนังที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้ และเราต้องเปลี่ยนฉากกันทันที ผมคิดว่าจำเป็นต้องอยู่ในฉากเพื่อสร้างสุดยอดวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์”

การลำดับภาพการต่อสู้สุดอลังการในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“การตัดต่อฉากต่อสู้ในเรื่องนี้เราไม่ค่อยได้ตัดการแสดงสักเท่าไหร่ เพราะฉากแอ็คชั่นของเดอนีออกมาดูดีที่สุด ฉากนั้นขับเคลื่อนโดยตัวนักแสดง ไม่ใช่แค่ฉากไล่ล่ากัน พวกเขาได้แสดงเองอย่างเต็มที่  ฉากเหล่านี้เป็นการถ่ายทำจริง 90% บางครั้งคิดภาพเอาไว้แล้วว่าจะถ่ายทำอย่างไร เช่น พวกเขาจะใช้เฮลิคอปเตอร์แทนออร์นิธอปเตอร์ วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์และผู้ตัดต่อต้องได้รับคำแนะนำในการทำงาน มันอาจเป็นฉากที่ถ่ายทำเดือนกันยายน ส่วนฉากอื่นถ่ายทำกันในเดือนกรกฎาคม ฉากขี่หนอนใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 3 เดือน ฉากนั้นเป็นจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ที่แต่ละชิ้นส่วนจะถูกส่งออกมาแต่ละช่วงเวล ทีมผู้ชำนาญด้านวิชวลเฟ็กต์รอทำงานต่อด้วยความกดดัน เราต้องตัดต่อด้วยความมุ่งมั่นอย่างมากว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน”

ความสนุกในการขยายการแสดงจาก “ดูน” ในเรื่องนี้…

“สิ่งหนึ่งที่น่าเสียใจในการเล่าเรื่องของ ‘ภาคแรก’ คือเราค่อยได้พบกับตัวละครสำคัญอย่างชานี่และสติลการ์ แต่ใน ‘ภาคสอง’ ทั้งคู่ได้ขึ้นมาอยู่กลางเวที ฮาเวียร์ บาร์เด็มมีความมหัศจรรย์มาก เขามอบสิ่งที่เราไม่ทันคาดคิดเอาไว้เลย มีทั้งความตลกและเป็นสิ่งที่ทิโมธีเล่นกับช่วงเวลานั้นได้ดี มีความสนุกหลายอย่างเกิดขึ้นกับตัวละครที่มีความรักอันยิ่งใหญ่และมีมนุษยธรรม””

มิตรภาพที่พัฒนาขึ้นระหว่างพอลและชานี่…

“เคมีระหว่างพอลและชานี่เด่นชัดมาก ในการแสดงผมได้รายละเอียดครบทุกอย่าง ในความเป็นจริงต้องใช้ความพยายามสูงมากในการเข้าถึงจังหวะการสร้างมิตรภาพที่เหมาะสมและเคารพทั้งสองตัวละคร และมีช่วงชีวิตของพวกเขาที่ต่างกัน ช่วงที่พวกเขาพัฒนาเวลาที่อยู่ร่วมกันเป็นช่วงที่ร่วมงานกับฮานส์ ซิมเมอร์ เพื่อหาดนตรีที่ตอกย้ำถึงความผูกพันของทั้งคู่ มันมีความแข็งแกร่งมากกว่าสิ่งที่ถ่ายทำในเรื่อง”

การร่วมงานกับเดอนีเป็นครั้งที่ 5…

“แม้ว่าจะมีความยากอยู่บ้าง แต่เดอนีควบคุมทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างที่เชคอฟกล่าวไว้ ‘การมีมารยาที่ดีไม่ได้หมายความว่าคุณห้ามทำซอสเปื้อนผ้าปูโต๊ แต่หมายถึงคุณไม่จับผิดเวลาที่ใครทำแบบนั้นต่างหาก’ สิ่งเดียวที่ผมพูดได้คือผมดีใจมากที่เขาพิสูจน์ให้เห็นตลอดการใช้เวลาร่วมงานกันอย่างยาวนานในเรื่องราว”

หัวใจสำคัญของการตัดต่อภาพยนตร์…

“การตัดต่อคือสิ่งที่คุณจะแทบมองไม่เห็นสิ่งที่ผมทำลงไปเลยหากมันแนบเนียน ผมหวังว่าคุณจะไม่เห็นนะ! สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือเนื้อเรื่อง แม้จะมีฉากต่อสู้ที่ตื่นเต้นระหว่างเฟย์ดและแลนวิลล์ในสังเวียนการต่อสู้ ซึ่งเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวให้ตัดต่อ มันมีความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่เราต้องข้ามผ่านให้ได้อย่างตัวละครที่โหดร้ายในเรื่อง การแข่งขันสำหรับพอล เขาเป็นคนรักความรุนแรงและมีปัญหาทางจิต แต่บารอนคือต้นแบบของเขา ในฐานะผู้ลำดับภาพการเลือกการแสดง ควบคุมรายละเอียดต่างๆ อย่างเสียงดนตรีและเพลง ทุกอย่างมีอิทธิพลต่อเนื้อเรื่องมาก แต่ต้องแน่ใจว่าเราใช้มันถูกจังหวะในเรื่อง เพื่อสร้างความสมดุลให้พอล นั่นคือเป้าหมายหลักของผมครับ”

— พอล แลมเบิร์ท —

ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์

การกลับมาเยือนโลกของ “ดูน” สำหัรบ “ดูน: ภาคสอง”…

“ผมตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาใน ‘ภาคสอง’ เพราะผมรักการร่วมงานกับเดอนี มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งและได้รับความร่วมมือดีมาก ไม่ว่าเดอนีจะทำอะไรก็ตาม ผมจะคว้าโอกาสนั้นเอาไว้เลย แต่การได้กลับมาหาเรื่อง ‘ดูน’ และโลกที่เราสร้างหลังจากความสำเร็จในภาคแรกอย่างดีเยี่ยม เรารู้ดีว่า ‘ภาคสอง’ จะต้องมีฉากแอ็คชั่นมากขึ้น ต้องมีเรื่องราวภายใน การได้มาร่วมงานในเรื่องและร่วมงานกับเขาอีกครั้งนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ ผมรู้ดีว่ามันจะสร้างความท้าทายมหาศาล ไอเดียอยู่ที่การคงความงดงามแบบเดิม ใช้หลักการเดียวกับที่เราเรียนรู้จาก ‘ดูน ภาคแรก’ และนำมาปรับใช้กับ ‘ดูน ภาคสอง’ แต่ยกระดับทุกอย่างขึ้นไปอีก”

ความคิดและการวางแผนในการนำความฝันของเดอนี วีลเนิฟว์เรื่อง ขี่หนอน สู่จอภาพยนตร์…

“เดอนีมีความระมัดระวังมากว่าสิ่งใดเหมาะกับวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์และสิ่งใดไม่เหมาะ การคุยผ่านซูมของเราครั้งแรกพร้อมทีมงานที่เดินทางไปยังบูดะเปสต์ คือการคุยเรื่องฉากขี่หนอน เพราะเดอนีมีภาพในใจที่น่าทึ่งอยู่แล้วว่าเขาต้องการให้มันออกมาเป็นแบบไหน เฟรเมนกระทืบเท้าลงไปบนภูเขาทราย และหนอนจะโผล่ขึ้นมาภูเขาทรายจะทลายตัวลงมา ไอเดียคือเฟรเมนอยู่ด้านบนสุดของภูเขาทราย จากนั้นจะเห็นว่าพวกเขาอยู่บนหนอนได้อย่างไร มีการคุยกันหลายเรื่องถึงการสร้างภาพอันน่าทึ่งนี้ และหนึ่งในความท้าทายคือภาพของพอลวิ่งขึ้นไปอยู่บนหนอนพร้อมชานี่ โดยมีเฟรเมนคนอื่นเฝ้ามองอยู่ มันมีทั้งการสร้างภูเขาทรายด้านบนในสถานที่อื่นขึ้นมา ซึ่งเป็นที่ๆ เราควบคุมหลายอย่างได้และมีเครน  เราใส่ท่อ 3 แท่งลงไปในภูเขาทรายซึ่งจะถูกรถแทรคเตอร์ดึง และเรายังติดตั้งลวดเซฟตี้เอาไว้ด้วย เมื่อเขาวิ่งท่อจะถูกดึงและทรายก็ถล่มลงมาจนเป็นภาพอยู่บนหนอนเหนือทราย เราต้องสร้างจังหวะเวลาที่ถูกต้อง กล้องต้องเดินตามและอะไรอีกหลายอย่าง มันต้องมีการซ้อมกันแต่ก็ออกมาดีมากเลย! ทีมงานของผมยังขยายภาพซีจีโดยใช้จากทางอากาศ คุณจะรู้สึกเหมอืนพอลอยู่สูงมาก สำหรับการถ่ายทำจริงเขาอยู่บนวงแหวนที่เราปรับเปลี่ยนทิศทางและสื่อสารตอบโต้กันได้”

ข้อกำหนดพิเศษสำหรับผลลัพธ์ของวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ดี…

“ผมต้องร่วมงานกับหัวหน้าแผนกอื่น เราต้องวางแผนและคำนวณทุกอย่างร่วมกัน มีหลาย ‘ข้อกำหนด’ ที่ผมอยากให้รักษาเอาไว้ เช่น ไม่อยากให้ปรับเปลี่ยนแสงไฟหรือการแสดงในภายหลัง มันมีมูลค่าสูงและไม่ค่อยได้ผลทุกครั้ง แต่การร่วมงานกับทีมของเกร็กและแพทริส การทำงานของเดอนีกับนักแสดงคนอื่นไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเลย หากผมบอกเดอนีว่าบางฉากอาจจะดูยาก เขาจะปรับเปลี่ยนการถ่ายทำ เพราะเขาอยากให้มันดูสมจริง เขาไม่ต้องการสิ่งที่จะดึงผู้ชมออกจากภาพยนตร์ ออกจากโลกสุดมหัศจรรย์ที่เขาพาทุกคนเข้ามา”

การทำงานร่วมกับธรรมชาติ…

“เดอนีเคยพูดว่าธรรมชาตินั้นจะมาแทนที่สตอรี่บอร์ด แทนที่การจำลองภพ ซึ่งหมายความว่าแม้เราจะรู้ว่าคาดหวังกับสถานที่อะไรได้บ้าง หากเขารู้สึกว่าฉกนั้นควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับบรรยากาศก็ต้องเปลี่ยน เป็นขั้นตอนการทำงานที่มีความเป็นธรรมชาติมาก แต่ก็เป็นโลกที่น่ากลัวมากด้วยเช่นกัน! แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยคิดตลอดเวลาว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง”

การเปลี่ยนตาสีน้ำตาล (หรือเขียว หรือน้ำตาลอ่อน) เป็นสีฟ้า…

“เราต้องใช้เทคนิคหลายอย่างที่ต่างกันในเรื่องนี้ อย่างแรกเพราะเรามีตัวละครเฟรเมนเยอะขึ้น เรามีดวงตาหลายแบบที่ต้องปรับให้เป็นสีฟ้าสวย และมีอีกหลายอย่างเพิ่มขึ้นจากภาคแรก มากกว่านับพันฉาก เราต้องอาศัยเทคนิคต่างกัน ใช้สิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาและสรส้างโมเดล อัลกอริธึม เพื่อค้นหาสีฟ้าในภาพ พวกเขาจะเอาใบหน้ามาให้เราเพื่อปรับเป็นสีฟ้า สำหรับบางคนก็ดูดีกว่าใคร บางคนก็ดูดีกว่าสิ่งที่เพิ่มเข้าไป! แต่นั่นคือเทคนิคใหม่ที่เพิ่งผลิตขึ้นมา”

การยกระดับฉากแอ็คชั่น…

“เรามีฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่พร้อมเฟรเมนนับพัน เราต้องขยายภาพมากกว่าสิ่งที่กล้องเก็บภาพได้ เรามีเครื่องบินเล็กและใช้หลักการทำงานเดียวกัน มีการเสริมปีก เสริมการโปรยทราย แม้ว่าเราจะมีการใช้เครื่องบินกันบนพื้น เราก็มีการสร้างเครื่องบินใหม่ขึ้นมาสำหรับฮาร์คอนเนน ซึ่งจะมีรูปร่างต่างจาก ‘ภาคแรก’”

มิตรภาพระหว่างเขากับหัวหน้าแผนกต่างๆ…

“ความมหัศจรรย์ในการร่วมงานกับแพทริส เวอร์เม็ตต์ คือเขาจะผลิตหนังสือคอนเซ็ปต์ขึ้นมา เราจะมีภาพวิชวลทั้งหมดในหนังสำหรับอ้างอิง และได้รับการอนุมัติจากเดอนีเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำวันแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ยาก เพราะปกติคอนเซ็ปต์มักจะออกมาจากไอเดียคนอื่น เราร่วมงานกับหลายแผนก เราจะบอกพวกเขาว่าคอนเซ็ปต์นั้นเข้ากันหรือไม่เพื่อหาผลลัพธ์สุดท้าย จากนั้นถ้าไม่เข้ากันก็จะวนลูปใหม่ แต่เพราะเดอนีมีภาพในจินตนาการของภาพยนตร์ และแพทริสได้ออกแบบตามจินตนาการของเดอนี จากนั้นเราได้ผลลัพธ์สุดท้าย เรารู้ว่าภาพพื้นหลังคืออะไร เกร็กจัดการเรื่องแสงไฟและกล้องอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและช่วยให้ผมเห็นภาพวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์สมจริงขึ้น มักไม่ค่อยมีโลกที่เราสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาจากศูนย์ มักจะมีบางอย่างเริ่มแต่แรกของฉากนั้นเอาไว้ ซึ่งมันอิงตามความเป็นจริง จากนั้นเราค่อยต่อยอดสู่สิ่งที่จับต้องได้อย่างที่เห็นในหนัง”

— แจ็คเกอลีน เวสต์ —

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

กรออกแบบโลกที่ขยายออกไปในเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“เราเห็นหลายอย่างเพิ่มขึ้นของเกดิไพรม์ และอาร์ราคิสมากกว่าใน ‘ดูน’ และได้เข้าไปรู้จักกับโลกอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก นั่นหมายถึงต้องสร้างฉากใหม่ขึ้นมาทั้งหมด เรายังมีเสื้อผ้าใหม่สำหรับเบเน เจสเซริตส์ รวมถึงแม่ใหญ่ทางตอนใต้ และสีสันใหม่สำหรับโลกของซีตช์ ซึ่งฉันคิดว่าจะแสดงให้เห็นถึงแฟชั่นหลังจากเรื่องนี้ฉาย”

การออกแบบซีตช์ที่เธอสร้างขึ้นมา…

“ชุดของซีตช์ สะท้อนถึงความเรียบง่ายผ่านวัสดุ เป็นชุดใส่สบายที่ออกแบบให้เหมาะแก่การสวมใส่จริง ชุดดูคล้ายกับชุดนอน เฟรเมนสวมใส่และถอดได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ค่อนข้างยากขึ้นเพราะเราเริ่มจากโลกของเฟรเมนทางตอนเหนือ จากนั้นไปทางตอนใต้ ทำให้เกิดคำถามว่าจะเลือกใช้สีสัน 2 โทนและวัสดุที่ต่างกันอย่างไร ในชุดซีตช์จะมีทั้งผู้ชำนาญด้านน้ำ ผู้อาวุโส แมชี และเราต้องจัดเสื้อผ้าให้พวกเขาทั้งหมด จึงเป็นภารกิจที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่”

แรงบันดาลใจสำหรับแม่ใหญ่ทางตอนใต้แห่งเฟรเมน …

“ฉันได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอียิปต์ค่ะ เสื้อผ้าแม่ใหญ่ทางตอนใต้จะดูหรูหรา สีโทนอุ่น ใช้สีเหลืองอมแดง โทนสีธรรมชาติ พร้อมด้วยสีเขียวมะกอกสว่าง สีเงินและทอง เพื่อให้ตัดกับเบเน เจสเซริตทางตอนเหนือที่สวมชุดสีดำ โทนสีเหลืองอมแดงเห็นได้จากชุดของซีตช์ ทางตอนใต้ ผสมกับบรรยากาศรอบตัว ทุกอย่างสำหรับแม่ใหญ่ทางตอนใต้ ตั้งแต่เครื่องประดับไปจนถึงเครื่องหัวผลิตขึ้นจากภาพร่างทั้งหมด ซีตช์ ดูมืดกว่า ใช้โทนสีธรรมชาติที่เข้มขึ้น”

แรงจูงใจที่กว้างขวางและหลากหลายของเธอในเรื่อง

“ฉันได้แรงบันดาลใจจากหลายสิ่งค่ะ ตั้งแต่ศิลปะโบราณทางตะวันออก ภาพวาดสมัยกลาง ศิลปะและวัฒนธรรมชาวญี่ปุ่น ไปถึงจนแฟชั่นของผู้เผด็จกาจอิตาลียุค 1930”

การออกแบบสังเวียนการต่อสู้พิเศษของเฟย์ด-รอว์ธา …

“ฉันรักการแต่งตัวของนักสู้กระทิงชาวสเปนค่ะ เดอนีเอาภาพคอนเซ็ปต์บางอย่างมให้ เรามองดูและวาดหมวกนักสู้กระทิงขึ้นมา และเสื้อผ้าใช้โทนสีดำ ทำให้เราได้นักขี่ม้าที่ผอมเพรียวมากค่ะ”

การขยายภาพของชานี่จากเรื่อง “ดูน: Part One”…

“นอกจากชุดปกติของเธอและชุดซีตช์ ชานี่ต้องมีเดรสด้วย เราให้เธอสวมชุดที่ดูสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ มีกลิ่นอายของ  ‘ดูน’ อยู่บ้างที่เธอสวมชุดสีขาวตามจินตนาการของพอล และฉันเพิ่มเติมจากตรงนั้น เธอยังมีชุดเดรสแสนสวยที่ผลิตจากผ้าลินินดิบและผ้าไหมดิบ ใช้การทอมือที่อิตาลี ซึ่งเรายังคงกลิ่นอายของซีตช์ เอาไว้แต่เข้ารูปมากขึ้น”

การรับบทเลดี้ เจสสิก้าในรูปแบบใหม่…

“เลดี้ เจสสิก้ามีตัวตนที่แท้จริง เธอมาจากการเป็นเจ้าสาวผู้ให้บริการในเรื่อง ‘ดูน’ จนถึงคุณแม่ผู้กล้าหาญที่เก็บลูกชายไว้อย่างปลอดภัย มาสู่การผจญภัยและกลายมาเป็นแม่ใหญ่ ชุดของเธอปรับเปลี่ยนตลอด ฉันพูดเสมอว่าฉันจะจัดเสื้อผ้าให้ตัวละครจากตัวตนภายใน เหมือนตัวละครทั้งหมดที่ฉันจัดแต่งในเรื่อง ฉันพยายามให้ชุดของเธอสะท้อนถึงสิ่งที่เธอพบเจอมา และการพัฒนาของเธอที่เปลี่ยนไป”

การออกแบบตัวละครใหม่ทั้ง 4 ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง…

“นักรบทะเลทราย ผู้ควบคุม กุบไลข่าน นั่งบนบัลลังก์และแนะนำเรื่องชุดของจักรพรรดิ์ให้ฉัน มันมีความงดงามอย่างเรียบง่ายที่ฉันสัมผัสได้จากเขา คริสโตเฟอร์ วอล์คเค็นมีหุ่นที่ผอมสูงสามารถรับบทนั้นได้อย่างงดงามมาก”

“เจ้าหญิงอิรูลานมีเชื้อพระวงศ์ แต่เธอคือเบเน เจสเซริต ฉันอยากคลุมศีรษะของเธอเอาไว้เป็นหลัก เพื่อรักษาความเป็นเบเน เจสเซริตที่มาจากการเป็นแม่ชีสมัยก่อน ชุดตกแต่งศีรษะต้องมีความหรูหรามากขึ้น ฉันออกแบบหมวกคลุมศีรษะที่มิดชิดพร้อมกับส่วนที่ปิดจมูกและปากเหมือนตะแกรงโลหะ ชุดตกแต่งศีรษะเหมือนกับชุดอื่นที่ผลิตโดยผู้ผลิตในบูดะเปสต์ เกราะที่เธอสวมในฉากหนึ่งอิงมาจากเกราะสมัยก่อนเพราะเธออยู่ในตำแหน่งเจ้าหญิงนักรบ”

“ฉันได้แรงบันดาลใจจากดีไซน์เนอร์เก่งๆ เสมอ และ Balenciaga แนววินเทจเป็นหนึ่งในผู้ชี้นำทางให้เบเน เจสเซริต รวมถึงเลดี้ เฟนริงด้วย  Balenciaga นำหลายการออกแบบของเขาตั้งแต่ภาพวาดเกี่ยวกับศาสนามา ฉันรู้สึกว่ามันสะท้อนถึงเบเน เจสเซริตที่เป็นแม่ชีมาก Balenciaga เคยออกแบบครั้งหนึ่งเมื่อปี 1940 ได้แรงบันดาลใจจาก Velasquez’s Black Madonna นั่นคือแรงบันดาลใจของฉันสำหรับเลดี้ เฟนริง พร้อมด้วยการออกแบบสวยๆ จากหนังสือแฟชั่นผู้เผด็จการของฉัน”

“เฟย์ด-รอว์ธา ฮาร์คอนเนน รับบทโดยออสติน บัตเลอร์เป็นดาวเด่นของเรื่อง แม้จะเป็นดาวเด่นที่ไม่ได้ทำตัวดีก็ตาม เราปรับเปลี่ยนหลายอย่างในลุคของฮาร์คอนเนนจาก ‘ดูน’ สู่เสื้อผ้าที่เห็นในเรื่องนี้ รวมถึงเกราะของเขาด้วย แต่สำหรับเฟย์ด ฉันอยากให้ชุดของเขาดูเพรียวขึ้น รวมถึงชุดที่เขาสวมในฉากการต่อสู้ด้วย ซึ่งเป็นชุดที่เข้ารูปพอดีกับตัวออสติน โชคดีที่เขามีรูปร่างที่ดูดี เมื่อเขาสวมชุดนั้นและเริ่มเคลื่อนไหวมันดูลงตัวมาก ออสตินเคลื่อนไหวราวกับนักเต้น เราปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้เขาแสดงฉากผาดโผนในการต่อสู้ได้ เขาต้องดูดีมากที่สุดด้วย เราจึงเสริมบางอย่างและถอดบางอย่างจนกรั่งมันดูงดงามเหมาะกับเขา”

แหล่งที่มาของผ้าสำหรับหลายลุคจากหลายแหล่ง…

“เราได้ผ้าหลายชิ้นมาจากญี่ปุ่น สำหรับซีตช์ใช้ผ้าหลายชิ้นจากไทยโดย Siam Fabrics และเรายังซื้อผ้าหลายชิ้นจากอิตาลี รวมถึงผ้าฝ้ายสำหรับแม่ใหญ่ทางตอนใต้และผ้าอื่นๆ สำหรับ ผู้สร้างสไปซ์. เรายังได้ผ้าไหมจำนวนมากจากอังกฤษด้วย”

การใช้ตัวอักษาชาโคบซาและไลฟ์สไตล์ของเฟรเมนในการออกแบบวัสดุเนื้อผ้า…

“เพราะน้ำคือสิ่งที่ขาดแคลนบนอาร์ราคิส ดีไซน์เนอร์ของเรา แม็ตต์ มาพร้อมกับไอเดียสุดอัจฉริยะในการใช้ถังย้อมสีแบบใช้ซ้ำ สีที่อยู่บนเสื้อผ้าบางชุดจะเป็นสีแนวออมเบรที่สวยมาก”

การออกแบบเครื่องประดับของเฟรเมน…

“เครื่องประดับก็เป็นเรื่องท้าทายความสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง เราสั่งหลายชิ้นมาจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ รวมถึงพวกของโบราณอย่างแหวน เครื่องประดับศีรษะ สร้อยคอ จากนั้นแยกชิ้นส่วนและออกแบบใหม่เป็นคอลเลคชันของเราเอง เครื่องประดับซีตช์มีความน่าสนใจมาก เพราะเฟรเมนรักเครื่องเงินและทองแดง เงินเป็นสัญลักษณ์ของการกำเนิด ทองแดงหมายถึงสุขภาพ เรารักษาเครื่องประดับทุกชิ้นให้อยู่ในขอบเขตงานนั้น เฟรเมนบางคนมีแหวนน้ำบนชุดเป็นเครื่องราง มันแสดงถึงมุมมองความสำคัญของการต่อสู้และการเก็บรักษาน้ำ ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในซีตช์คือผู้รักษาทรัพย์สมบัติและเป็นผู้เก็บรักษาแหวนน้ำ เช่น ชานี่มีสร้อยคอแหวนน้ำที่เธอสวมเอาไว้”

— ริชาร์ด คิง —

ผู้ควบคุมการตัดต่อเสียง

การรักษารายละเอียดของเสียงจากเรื่อง “ดูน” สู่เรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

“มีหลายอย่างที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงในเรื่อง ‘ดูน: ภาคสอง’ และมีเพียงเสียงเดียวที่ใช้ต่อจาก ‘ภาคแรก’ คือออร์นิธอปเตอร์ ธัมเปอร์ และเสียง ‘คลัก-คลัก’ ของ sandworm ที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง เดฟ ไวท์เฮด ผู้ออกแบบเสียงในภาคแรก ตัดเสียงออร์นิธอปเตอร์จากหลายส่วนประกอบของเสียงที่พัฒนาจากภาคแรก นอกนั้นอาวุธใหม่ เสียงเครื่องจักร เสียงฉากหลัง ทุกเสียงในภาพยนตร์ล้วนเป็นเสียงใหม่ เราได้เห็น sandworms มากขึ้นใน ‘ภาคสอง’ หลายรายละเอียดพัฒนาขึ้นเพื่อพวกมัน นอกจากนั้นเรายังอยู่บนดาวทะเลทรายอย่างอาร์ราคิสในเรื่องเป็นส่วนใหญ่ บรรยากาศเสียงบนทะเลทรายรอบดาวส่วนใหญ่จึงเป็นเสียงทรายหลายแบบในแต่ละสถานที่”

“จินตนาการ” เรื่องเสียงของเดอนี วีลเนิฟว์ในเรื่อง…

“‘ภาพยนตร์สารคดี’ คือคำหนึ่งที่เดอนีใช้สื่อถึงรายละเอียดของเสียงที่เขาตามหา ในเรื่อง ดูน มีเสียงของทราย เครื่องจักรในสภาพบรรยากาศที่แห้งแล้ง และมีการพัฒนาเสียงแหลมกับเสียงเขย่ารัว ทุกแห่งล้วนมีแต่ทราย เราบันทึกเสียงเครื่องจักรหลายแบบ จากนั้นนำมาใช้เป็นเสียงของเครื่องเก็บเกี่ยวและออร์นิธอปเตอร์ เรบันทึกเสียงทะเลทราย Death Valley และ Kelso ดูนs ในแคลิฟอร์เนียหลายชั่วโมง เรายังส่งผู้บันทึกเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ไปยังแอฟริกาเหนือ เพื่อบันทึกเสียงลมกลางทะเลทรายซาฮาร่าทุกแบบ ตั้งแต่สงบเงียบไปจนถึงพายุโหมกระหน่ำ”

การสร้างเสียงของหนอน…

“หนอนมีขนาดใหญ่ยักษ์ พวกมันเคลื่อนที่ไวมาก เราบันทึกเสียงที่ทะเลทรายเยอะมาก มีการลากวัตถุขนาดใหญ่ข้ามทรายและกรวด จากนั้นมีการปรับแต่งและใช้เครื่องมืออนาล็อกทั่วไปเพิ่มขนาดหรือความเร็ว พวกหนอนจะไม่มีเสียงเว้นแต่เสียง ‘คลัก-คลัก’ ที่ผมพูดถึง เสียงที่เราได้ยินมักจะเป็นเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติของพวกมัน”

การเก็บเสียงของลมเพื่อสร้างเสียงความเร็วของหนอน…

“เราใช้เสียงลมที่บันทึกโดยผู้บันทึกเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ของเราที่แอฟริกา จอร์จ แวลด รวมถึงเสียงลมพัดแรงที่เราสร้างขึ้นมา บวกกับเสียงฟ้าร้อง พายุทราย และเสียงกระทบดังที่เราบันทึกเสียงที่ Death Valley ภาพรวมของเอ็ฟเฟ็กต์มีพลังมากเมื่อใช้ความเร็วสูง การขี่หนอนของพอลมีความวุ่นวายและน่ากลัว จนกระทั่งเขาควบคุมเจ้าสัตว์นั้นได้”

การออกแบบเสียงที่สร้างแรงจูงใจให้ทั้งเรื่อง…

“การออกแบบเสียงสร้างบรรยากาศโลกที่ตัวละครนั้นอยู่ การออกแบบเสียงช่วยบอกเป็นนัยว่าเราอยู่ร่วมกับตัวละครในช่วงเวลาและจังหวะพิเศษ ผู้ชมภาพยนตร์มักยอมรับสิ่งที่ได้ยินว่าเกิดขึ้นจริง ผู้ออกแบบเสียงใช้ลูกเล่นนั้นหลายครั้ง  (เช่น ใช้เสียงหัวต่อรถไฟเป็นเสียงของปากขนาดใหญ่ของหนอนกำลังจะปิด) เราจะได้ยินเสียง ‘เปิด’ ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่เรากำลังหลับ เราจึงผูกขั้นตอนนั้นและใส่รายละเอียดของเสียงลงไปมากขึ้น เสียงสร้างความรู้สึกเซอร์ไพรส์ได้มาก มันคืออาวุธลับของผู้สร้างภาพยนตร์และเป็นเรื่องที่สนุกมาก”

— ฮานส์ ซิมเมอร์ —

ผู้ประพันธ์ดนตรี

การ “กลับมาเยือน” โลกของ “ดูน”…

“ผมไม่เคยห่างหายไปจากโลกของ ‘ดูน’ เลย อันที่จริงผมคิดว่าเดอนีคิดว่าผมคลั่งไคล้ด้วยซ้ำ เพราะผมยังคงแต่งเพลงหลังจากที่หนังจบลงไปแล้ว แต่เพราะผมรู้จักเรืองราวดี ผมรู้จักหนังสือ ผมรู้ว่าเราต้องเจอกับอะไร อันที่จริงหลายธีมหลักในเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นหลังจากที่จบภาคแรก สิ่งสำคัญอยู่ที่การแต่งเพลงต่อในช่วงที่เรายังอยู่ในภวังค์เดิม”

ประสบการณ์ในการแต่งเพลงสำหรับภาพยนตร์ “ดูน” ที่เดอนี วีลเนิฟว์สร้างขึ้น…

“ผมไม่เคยพบประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เพราะไม่เคยมีหนังสือเล่มไหนที่ผมกระหายร่วมงานขนาดนั้น บวกกับการที่เดอนีเป็นมนุษย์สุดพิเศษ นั่นคือข้อแรกและเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ข้อที่สองคือเขาเป็นผู้กำกับฯ ที่ไม่ธรรมดา เขาปูทางสร้างมายากลบางอย่างให้ชม คุณรู้จักการพูดในใจคนเดียวโดยที่ไม่ได้อยู่ในหนังไหม? เขาเตรียมปูทางให้คุณได้พบกับสิ่งนั้นไปตามรูปแบบภาพยนตร์ โดยไม่ใช้เสียงพากย์อะไรแบบนั้นเลย เขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่น่าทึ่งมาก! เขาสร้าง ดูน ในรูปแบบที่ภาพยนตร์ให้ต่างจากหนังสือพูดได้ เพราะมันเป็นหนังสือที่มีบทเยอะมาก ผมจำได้หลังจากจบภาคแรกตอนที่ขึ้นเครดิตตอนท้าย ผมเช็คหนังสือของผมจนรู้ว่าเราอยู่กันที่หน้า 156 เอง! ยังไม่ได้เริ่มอะไรด้วยซ้ำ…”

การสร้างธีมเรื่องความแตกต่างหรือวัฒนธรรมที่ขยายใหญ่ขึ้นในโลกของ “ดูน: ภาคสอง”…

“ผมอยากสร้างเสียงบรรยากาศที่ต่างออกไป โลกของฮาร์คอนเนนเกี่ยวกับอุตสาหกรรม เป็นเรื่องปกติมากที่เราจะดินเนอร์กันในโรงหลอมเหล็ก ต่างกับโลกของเฟรเมนที่เพลงของพวกเขาเป็นเสียงร้องของลมพัดกลางทะเลทราย เป็นเสียงธรรมชาติที่งดงามและเรียบง่าย ในบทเพลงจะได้ยินเสียงไม้และทรายเยอะมก จากนั้นยังมีเสียงของเบเน เจสเซริต เสียงผู้หญิง มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป รวมถึงจักรพรรดิสำหรับเขาด้วยเช่นกัน ผมพยายามทำให้เข้าใจว่าภายใต้ความซับซ้อนที่เขาแสดงออกมา คืองูที่จะฆ่าเราเมื่อเราหันหลังให้”

จุดพลิกผันสำหรับธีมความรักระหว่างพอลและชานี่…

“เราไปดูหนังเพื่อชมความโรแมนติก แต่สำหรับ  ‘ดูน’ เรื่องนี้ ผมไม่ต้องการ ‘ธีมความรัก’ ระหว่างชานี่และพอล ความรักระหว่างพวกเขาผิดแผน แต่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง สิ่งที่ผมอยากให้เห็นคือเธอแสดงให้เขาเห็นอย่างไรว่าจะรักโลกอันไร้ค่านี้อย่างไร รวมถึงความเข้มแข็งในตัวเธอเองด้วย”

การนำบทเพลงของเขาสู่ผลงานตอนต่อไป…

“นี่ไม่ใช่ผลงานภาคต่อ นี่เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ช่วงที่แต่งเพลงภาคแรก ผมรู้ดีว่าตัวเองต้องพัฒนาสิ่งเหล่านี้ และผมไม่ได้ตัดทิ้งหรือแต่งผลงานใหม่ขึ้นมา แต่มันต้องอาศัยการพัฒนา มันต้องมีช่วงที่เชื่อมต่อกัน… ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากี่ปี สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์คือผู้ตัดต่อเสียงดนตรีของเรา ไรอัน รูบิน เป็นหนึ่งในผู้ควบคุมผู้ตัดต่อเสียง เราช่วยกันแต่งเพลงทั้งหมดและดูว่าตรงไหนที่ธรรมดา ตรงไหนที่เราระวังเป็นพิเศษ เราสามารถพัฒนาได้หลายอย่าง ทำให้เราได้เสียงดนตรีที่เพราะขึ้น เราแต่งเพลงใหม่กันไม่หยุดเลย! นักแต่งเพลงทั่วไปจะแต่งบนกระดาษหรืออะไรสักอย่างแล้วยื่นให้วงออเคสตร้า พวกเขาจะมีท่วงทำนองและนั่งลงเล่นดนตรีจากนั้นกลับบ้าน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราทำ! พวกเราจะดูกันว่าเราต้องการเสียงดนตรีแบบไหน? ตอนนี้มาผลิตเครื่องมือที่สร้างเสียงดนตรีได้กัน”

ผู้ชำนาญที่มาร่วมงานในเรื่องนี้ด้วยของเขา…

“เรามีแชปส์ที่น่าทึ่งจากฝรั่งเศสซึ่งมาพร้อมเสียงดนตรีที่เพราะ มันต้องใช้เวลาสร้างแค่  10 ปีเอง! มันเรียกว่าออสมอส เรามีโปรแกรมซิงค์ที่ดีมาก ทุกคนในทีมจะแต่งเสียงและบันทึกเสียงได้ กูธรี โกเวิร์น นักกีตาร์มาจากประเทศอังกฤษ ฮวน การ์เซีย-เฮอร์เรรอส มือเบสบินมาจากตาฮิติ อเล็กซานดรา ซูคลาร์ นักดนตรีเล่นดนตรีประเภทเคาพบินมาจากเวียนนา กิลลอม บอนนิว, คริสโตเฟอ ดูแกน และ เอ็ดดี้ อีแกน ผู้ออกแบบสุดอัจฉริยะที่มาร่วมงานด้วย สิ่งที่พวกเขาสร้างผลงานคือเมื่อเราเล่นโน้ตบนเปียโน ปกติจะเป็นเสียง ‘ปลองค์’ และจบ แต่ผลงานของพวกเขาคือเมื่อเราสัมผัสคีย์บอร์ด มันรู้ว่าเราสัมผัสเมื่อเราวางนิ้วลง ในช่วงที่เปลี่ยนคีย์นั้นเสียงสามารถเปลี่ยนไปได้โดยทันที แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่มือคีย์บอร์ดต้องการคือสิ่งทที่นักไวโอลินเล่นได้ นักกีตาร์เล่นได้ ซึ่งล้วนเป็นเสียงที่มาจากการสั่น! เราสามารถโยกคีย์ซ้ายและขวาได้ มันเปลี่ยนเสียงได้ทันทีเพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อย”

การปรับเปลี่ยนซาวด์ดนตรีสำหรับเรื่อง “ดูน: ภาคสอง”…

มันคือการเรียบรู้ตลอดเวลาสำหรับพวกเราเลยครับ เราแลกเปลี่ยนความรู้กันไปมา จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณทำแบบนี้หรือลองแบบนี้? ดูฉากนั้นสิ! ตัวอย่างเช่น ชิ้นส่วนของมอลลี่ โรเจอร์ส หนึ่งในนักไวโอลินของเราผู้เป็นนักร้องเสียงทอง พวกเขาพยายามหาทางปรับให้เหมาะสม น้ำเสียงของเธอทำอะไรได้บางอย่าง และแสดงความโหดร้ายออกมาได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ นั่นคือเสียงที่ได้ยินตลอดทั้งเรื่อง

การนำเดอนีมาร่วมขั้นตอนการสร้างสรรค์…

“ผมไม่คิดว่าเคยร่วมงานกับใครที่นึกถึงผู้อื่นมากเหมือนเดอนีเลยครับ ตอนที่ห้องอัดเสียงเต็มไปด้วยนักดนตรีและผู้ออกแบบซาวด์ ทุกอย่างล้วนพุ่งไปที่การแต่งเพลง ซึ่งเดอนีก็อยู่ในห้องนี้ด้วย ผมรู้ว่าทุกคนในห้องพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเขา และเขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเราเช่นกัน การได้กลับมาร่วมงานใน ‘ภาคสอง’ เหมือนการได้กลับมาหาครอบครัวครับ”

    Facebook Comments
    ติดต่อ Maganetthailand.com
    Don`t copy text!