Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore สัตว์มหัศจรรย์: ความลับของดัมเบิลดอร์

Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore

แนว Adventure, Family, Fantasy

ความยาว 142 นาที

เข้าฉาย 13 เมษายน 2565

ผู้กำกับ David Yates

นักแสดง Eddie Redmayne, Jude Law, Ezra Miller, Katherine Waterston, Mads Mikkelsen

เรื่องย่อ

เมื่อศาสตราจารย์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (จู๊ด ลอว์) รู้ว่าพ่อมดศาสตร์มืด เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (แมดส์ มิคเคลสัน) เริ่มเดินแผนการหวังปกครองโลกเวทมนตร์ด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดอดีตเพื่อนรักได้ด้วยตัวคนเดียว เขาจึงมอบหมายให้ศิษย์รักนักสัตว์วิเศษวิทยา นิวท์ สคามันเดอร์ (เอ็ดดี้ เรดเมย์น) นำทัพเหล่าพ่อมด-แม่มด รวมถึงมักเกิลนักทำเบเกอรี่ผู้กล้าหาญเผชิญหน้ากับภารกิจเสี่ยงอันตราย ที่พวกเขาต้องต่อสู้กับสัตว์วิเศษทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงกองทัพผู้ติดตาม กรินเดลวัลด์ ในสถานการณ์ที่ต้องเดิมพันสูงเช่นนี้ ดัมเบิลดอร์ จะสามารถดึงตัวเพื่อนรักของเขากลับมาได้หรือไม่?

ภาพยนตร์จากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส เรื่อง “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” เป็นผลงานการผจญภัยครั้งใหม่ในโลกแห่งเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง

ศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (จู้ด ลอว์) รู้ว่าพลังของพ่อมดด้านมืด เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (แมดส์ มิคเคลเซน) กำลังครอบงำการควบคุมโลกแห่งเวทมนตร์ เขาไม่สามารถหยุดยั้งได้เพียงลำพังจึงมอบความรับผิดชอบนี้ให้นักสัตว์วิเศษวิทยา นิวท์ สคามันเดอร์ (เอ็ดดี้ เรดเมย์น) นำทีมพ่อมดและแม่มดผู้กล้า รวมถึงมักเกิ้ลอบขนมปังผู้กล้าหาญสู่ภารกิจเสี่ยงตาย พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทั้งสัตว์ตัวเก่าและใหม่ มีการปะทะกับเหล่ากองทัพที่ติดตามกรินเดลวัลด์ แต่ครั้งนี้มีการเดิมพันสูงขึ้น ดัมเบิลดอร์จะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้นานแค่ไหน?

ภาพยนตร์รวมทีมนักแสดงนำโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น เจ้าของรางวัล Oscar (“The Theory of Everything”) จู้ด ลอว์ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar ถึง 2 ครั้ง (“Cold Mountain,” “The Talented Mr. Ripley”), เอซร่า มิลเลอร์, แดน ฟอกเลอร์, อลิสัน ซูโดล, วิลเลียม นาดีแลม, คอลลัม เทอร์เนอร์, เจสสิก้า วิลเลียมส์, วิคตอเรีย ยีทส์, ป๊อปปี้ คอร์บี้-ทูเอช, ฟิโอน่า กลาสค็อตต์, แคทเธอรีน วอเตอร์สัน, มาเรีย เฟอร์แนนด้า แคนดิโด, ริชาร์ด คอยล์, โอลิเวอร์ มาซุช, วาเลรี่ แพชเนอร์, อเล็กซานเดอร์ คุซเนตซอฟ และ แมดส์ มิคเคลเซน

ภาพยนตร์เรื่อง “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” กำกับฯ โดยเดวิด เยทส์ จากบทภาพยนตร์ของเจ.เค. โรว์ลิ่ง และ สตีฟ โคลฟส์ สร้างอิงจากบทภาพยนตร์ของเจ.เค. โรว์ลิ่ง อำนวยการสร้างฯ โดยเดวิด เฮย์แมน, เจ.เค. โรว์ลิ่ง, สตีฟ โคลฟส์, ไลโอเนล วิแกรม และ ทิม ลูอิส อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยนีล แบลร์, แดนนี่ โคเฮน, จอช เบอร์เกอร์, คอร์ทีเนย์ วาเลนติ และ ไมเคิล ชาร์พ

ทีมงานเบื้องหลังภาพยนตร์ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ จอร์จ ริชมอนด์ (“Rocketman”), สจ๊วต เครก ผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Oscar ถึง 3 ครั้ง (“The English Patient,” “Dangerous Liaisons,” “Gandhi,” ภาพยนตร์ “Harry Potter” และ “Fantastic Beasts”) และผู้ออกแบบฉาก นีล ลามอนต์ (“Solo: A Star Wars Story,” “Rogue One: A Star Wars Story”) มาร์ค เดย์ ผู้ร่วมงานกับเยทส์มาอย่างยาวนาน (“Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald,” ภาพยนตร์ “Harry Potter” 4 ภาคสุดท้าย) ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar คริสเตียน แมนซ์ (“Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1,” ภาพยนตร์ “Fantastic Beasts”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัล Oscar ถึง 4 ครั้ง คอลลลีน แอตวูด (“Chicago,” “Memoirs of a Geisha,” “Alice in Wonderland,” “Fantastic Beasts and Where to Find Them”) ดนตรีโดย เจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar ถึง 9 ครั้ง (“News of the World,” “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald,” “Defiance,” “Michael Clayton,” “The Hunger Games” films)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก Heyday Films Production และเดวิด เยทส์ เรื่อง  “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” ในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศเริ่มวันที่ 7 เมษายน 2022 และอเมริกาเหนือวันที่ 15 เมษายน 2022 ภาพยนตร์จัดจำหน่ายทั่วโลกในโรงภาพยนตร์บางแห่งและระบบไอแมกซ์โดยวอร์เนอร์ ราเดอร์ส พิกเจอร์ส

Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore

รายละเอียดการถ่ายทำ

หากตั้งใจฟังดีๆ
เสียงจากอดีตกระซิบบอกเรา

            ภาพยนตร์เรื่อง “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” ผลงานการผจญภัยแห่งโลกเวทมนตร์ที่โลดแล่นทั่วโลก มีเหล่าฮีโร่ที่ดูแปลกตานำทีมโดยนิวต์ สคาแมนเดอร์ สู่ภารกิจของพวกเขามีเพียงโอกาสเดียวที่จะปกป้องทั้งโลกพ่อมดและโลกที่ไร้เวทมนตร์ได้ ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองโดยได้รับการมอบหมายจากการวางแผนของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่อย่างศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์

            ดัมเบิลดอร์มีผู้ที่เคารพนับถือมากคนหนึ่งในโลกแห่งเวทมนตร์ นับตั้งแต่ที่เขาเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นครั้งแรกเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามพ่อมดผู้เป็นที่ชื่นชอบจากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่องยังมีเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ ซึ่งจะปรากฏให้เห็นภาพยนตร์ชุด “Fantastic Beasts” ตอนที่ 3

            เดวิด เยทส์ ผู้กำกับฯ ภาพยนตร์ในฉากของโลกแห่งเวทมนตร์เป็นเรื่องที่ 7 ได้เล่าว่า “ดัมเบิลดอร์เป็นตัวละครเด่นในผลงานของเจ.เค. โรว์ลิ่ง ในหนังสือพอตเตอร์และภาพยนตร์หลายเรื่อง เขามีเสน่ห์เหลือเชื่อและเป็นตัวละครที่มีความรอบรู้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความสนใจคือการได้เห็นเรื่องราวในอดีตของเขา สำหรับการสำรวจเรื่องราวของดัมเบิลดอร์ เราจะมองเหมือนเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความดื้อรั้นบ้าง และต้องพบกับหลายปัญหาตอนที่ยังเป็นหนุ่ม เขายังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความฉลาด และมีสติปัญญาในแบบที่เราคุ้นตาจากดัมเบิลดอร์ แต่เขาต้องแบกรับความเชื่อจากเรื่องราวที่เขาเผชิญในชีวิต”

            จู้ด ลอว์กลับมารับบทพ่อมดที่ถูกลิขิตให้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งฮอกวอตส์ เขาเปิดเผยว่า “สิ่งที่สนุกที่สุดคือการมีโอกาสได้เห็นเรื่องราวในอดีตของดัมเบิลดอร์มากขึ้น ในหนังที่ผ่านมามีการบอกใบ้บางอย่างเอาไว้ แต่คราวนี้จะได้ลงลึกถึงเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ตอนเป็นหนุ่ม และจุดเริ่มต้นสู่การแตกหักของความสัมพันธ์ อัลบัสเคยแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับมักเกิ้ลที่รุนแรงร่วมกับกรินเดลวัลด์ จนเขาเดินเส้นทางผิดและหันหลังจากไป เขาต้องอยู่กับความลับอันชั่วร้ายและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของพวกเขา”

            เดวิด เฮย์แมน ผู้อำนวยการสร้างผลงานเกี่ยวกับโลกแห่งเวทมนตร์ทุกเรื่องได้เล่าเสริมว่า “มันเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์และการซื่อสัตย์ที่ผิดพลาด รวมถึงการแก้ไขความผิดพลาดจากอดีตและการเดินหน้าต่อไป ผมคิดว่านัน่คือเรื่องสำคัญ เพราะในชีวิตเราต่างก็ต้องเคยทำสิ่งที่รู้สึกผิดพลาด นั่นคือหนึ่งในอีกหลายประเด็นในเรื่องที่ผมคิดว่าทุกคนจะเข้าใจได้”

            บทบาทนี้แสดงโดยแมดส์ มิคเคลสัน เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์เป็นที่ต้องการตัวเพราะความเชื่อมั่นและเทคนิควิธีที่รุนแรงของเขา ตอนนี้พ่อมดผู้ชั่วร้ายได้ออกมาจากเงามืด พร้อมจะควบคุมโลกทั้งใบของพ่อมดและจะทำสงครามกับมักเกิ้ล ซึ่งครั้งนี้เขาจะไม่เล่นนอกกฎ แต่อยู่ในระบบมีการบิดเบือนเพื่อไปสู่จุดหมายของเขา และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาน่ากลัวมากขึ้น  

            ดัมเบิลดอร์เป็นหนึ่งในพ่อมดที่มีอำนาจขัดขวางความทะเยอทะยานของกรินเดลวัลด์ได้ แต่มิตรภาพในอดีตระหว่างพวกเขาคือสิ่งที่หยุดยั้งไว้ ลอว์อธิบายว่า “เลือดสาบานคือความผูกพันระหว่างเกลเลิร์ตและอัลบัส มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีความหลงใหลและความเชื่อมั่นตั้งแต่ตอนยังเป็นหนุ่ม แม้ว่าชีวิตพวกเขาจะเลือกทางเดินที่ต่างกัน แต่ยังไม่อาจเอาชนะกันได้ ซึ่งจากมุมมองของอัลบัสแล้วเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก”

            ดัมเบิลดอร์เป็นผู้ชำนาญด้านหมากรุก เขาได้คิดแผนรวมตัวเพื่อนๆ และนักเรียนเก่าของเขา นิวต์ สคาแมนเดอร์ มารวมพลังกันในกลุ่มพ่อมด แม่มด และอีกหนึ่งมักเกิ้ลผู้กล้า เยทส์ได้เล่าว่า “ดัมเบิลเดอร์เคยผ่านหลายเรื่องราวที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้คนเพื่อทำเรื่องเหลือเชื่อ แต่เราก็รักเขาเพราะแบบนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข”

“กลุ่มที่นำมารวมตัวกันเหมือนกับกองทัพดัมเบิลดอร์” เฮย์แมนกล่าว ซึ่งมันดูคุ้นตาสำหรับแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ “แต่ละคนเหมือนคนนอก ซึ่งอยู่ในธีมที่เป็นผลงานของเจ.เค. โรว์ลิ่ง และโจแต่งขึ้นมาจากจินตนาการไร้ขีดจำกัด เล่าออกมาได้แหวกแนว และมีตัวละครที่มีความโดดเด่นอย่างเข้าใจได้ง่าย”

บทภาพยนตร์ฉบับไฟนอล “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” อิงมาจากบทต้นฉับของเจ.เค. โรว์ลิ่ง เขียนขึ้นโดยโรว์ลิ่งและสตีฟ โคลฟส์ ทั้งคู่ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฯ โคลฟ์เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ “Fantastic Beasts” สองภาคแรก และคุ้นเคยกับโลกแห่งเวทมนตร์มาอย่างยาวนาน เขายังเขียนบทฯ ให้กับ “Harry Potter” ทั้ง 7 ภาคด้วย เยทส์เล่าว่า “ในฐานะของผู้กำกับฯ มันเหมือนความสนุกอย่างหนึ่ง เพราะผมรักโจและสตีฟ ทั้งในฐานะนักเขียนและเพื่อนร่วมงาน พวกเขามีพรสวรรค์เหลือเชื่อทั้งคู่ และนี่เป็นการรวมตัวกันอย่างเพอร์เฟ็กต์”

            ผู้กลับมารับบท นิวต์ สคาแมนเดอร์ นักสัตว์วิเศษวิทยาคือเอ็ดดี้ เรดเมย์น เขาเล่าว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดัมเบิลดอร์ขอความช่วยเหลือจากนิวต์ “มิตรภาพระหว่างนิวต์กับดัมเบิลดอร์เริ่มขึ้นจากการเป็นผู้ชำนาญ/เด็กฝึกงาน นิวต์ถูกดัมเบิลดอร์ชักจูงโดยที่ไม่รู้ความจริงทั้งหมดเสมอไป จนสุดท้ายของเรื่องนิวต์ได้เผชิญหน้ากับดัมเบิลดอร์และมารวมตัวกัน ครั้งนี้จะสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามาสู่จุดที่ดัมเบิลดอร์ไม่ได้บอกเขาทุกเรื่องราว แต่ปล่อยให้เขาได้สัมผัสมันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาส่งนิวต์ไปพบการผจญภัยสุดพิเศษที่มีความจริงใจและมีแรงผลักดันมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก”

            นิวต์ได้พบกับอีกหลายคนที่คุ้นหน้า เช่น ธีซีอุส พี่ชายของเขาที่รับบทโดยคอลลัม เทอร์เนอร์; บันตี้ ผู้ช่วยของนิวต์ที่ทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนาน รับบทโดยวิคตอเรีย ยีตส์; ยูซุฟ คามา รับบทโดยวิลเลียม นาดีแลม และมักเกิ้ลนักอบขนม จาค็อบ โควัลสกี้ กลับมารับบทโดยแดน ฟอกเลอร์ มีบางอย่างที่บอกใบ้ไว้ในภาคที่ 2 ของ “Fantastic Beasts” เกี่ยวกับแม่มดคนใหม่ของกลุ่มคือ ยูลาลี่ “ลาลี่” ฮิกส์ อาจารย์วิชาเวทมนตร์คาถาโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์อิลเวอร์มอร์นี รับบทโดยเจสสิก้า วิลเลียมส์ แลลลี่คือผู้ที่ต้องโน้มน้าวจาค็อบให้หวนกลับมาสู่โลกแห่งเวทมนตร์ให้ได้

            ในฐานะที่เป็นมักเกิ้ลเพียงคนเดียวในกลุ่ม ความตลกของจาค็อบคือ  “เขาแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์เลย” เยทส์กล่าว “เราอยากนำความสนุกของเวทมนต์และความคิดแปลกๆ กลับมาในเรื่องนี้ ปกติโลกของโจจะมีความสมดุลระหว่างแสงสว่างและเงามืด แต่ความสำคัญของเราอยู่ที่ความสนุกของเนื้อเรื่องด้วย”

            “เรื่องราวสำคัญ ความตลก และการผจญภัยคือ 3 สิ่งที่สำคัญในหนังเรื่องนี้ของเรา” เฮย์แมนกล่าว “มีเรื่องราวความลึกลับผสมอยู่ด้วย แต่ก็รวมถึงความตลก ความสนุกสนาน และความตื่นเต้น แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องเวทมนตร์ ผมคิดว่าทุกคนภาวนาให้ตัวเองได้อยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์ และอยู่ในโลก ‘Fantastic Beasts’ เหมือนจาค็อบ เราได้รับการต้อนรับเหมือนเป็นโลกของเรา เพราะมันเป็นโลกของเราจริงๆ”

พ่อมดและแม่มดทั้ง 5 บวกกับอีก 1 มักเกิ้ลที่ดูสับสนเหมือนจะไม่เข้ากับกรินเดลวัลด์และคณะผู้ติดตามเอาซะเลย ซึ่งน่าเศร้าที่ครั้งนี้รวมถึงคนรักของจาค็อบ ควีนนี่ โกลด์สตีน ที่รับบทโดยอลิสัน ซูโดลอีกครั้ง และในโลกที่ชวนหลงใหลของกรินเดลวัลด์ยังมีชายหนุ่มที่ชื่อครีเดนซ์ เอซร่า มิลเลอร์กลับมารับบทนี้ ชื่อจริงของเขาคือออรีเลียส ดัมเบิลดอร์ 

            ความน่าสนใจอยู่ที่มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์กับอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ที่สุดท้ายทำให้ทั้งคู่อยู่คนละปลายทางกัน มิคเคลสันเล่าว่า “กรินเดลวัลด์ไม่สามารถขัดขวางดัมเบิลดอร์ได้ แต่อัลบัสอยู่บนเส้นทางที่ทำให้เกลเลิร์ตได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ ครีเดนซ์คือกุญแจสำคัญสำหรับเขา ในเรื่องจะเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน และเห็นว่าแต่ละคนพยายามทำอะไร คำถามคือพวกเขาจะทำอย่างไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องราวสุดพิเศษที่จะพาเราผจญภัยผ่านโลกแห่งเวทมนตร์นี้”

            ทีมนักแสดงจากทั่วโลกยังรวมถึงริชาร์ด คอยล์ ผู้รับบทอาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์ พี่ชายของอัลบัส; ป๊อปปี้ คอร์บี้-ทูเอช ผู้รับบทโรเซียร์ ผู้ช่วยผู้ซื่อสัตย์ต่อกรินเดลวัลด์; ฟิโอน่า กลาสก็อตต์ ผู้รับบทมิเนอร์วา มักกอนนากอล; โอลิเวอร์  มาซุช ผู้รับบทแอนตัน โวเกล อดีตประธานสมาพันธ์พ่อมดแม่มดนานาชาติ; มาเรีย เฟอร์นันดา แคนดิโด ผู้รับบทวิเซนเซีย ซานโตส ที่จะมาแทนที่เขา; อเล็กซานเดอร์ คุตเนตซอฟ ผู้รับบทเฮลเม็ต หัวหน้าสำนักงานผู้ปราบมารเยอรมัน และแคทเธอรีน วอเตอร์สตัน ผู้ปรากฏตัวในบททีน่า โกลด์สตีน ช่วงสั้นๆ และเป็นหัวหน้าสำนักงานผู้ปราบมารอเมริกันคนปัจจุบัน  

            นอกจากนั้นยังมีอีก 2 นักแสดงโปรดที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดอะ นิฟเฟลอร์ ชื่อเท็ดดี้ที่คอยเฝ้าระวังวัตถุที่มีความแวววาวอยู่เสมอ และพิกเกตต์ โบว์ทรัคเคิลเจ้าปัญญา เพื่อนร่วมทางผู้ซื่อสัตย์ของนิวต์

ในภาพยนตร์ยังแนะนำสัตว์ใหม่อีกหลายตัว เช่น ชิลลินสุดมหัศจรรย์ สัตว์ที่มีความแปลกไปจนถึงหางที่จะได้เห็นทั้งตอนโตเต็มวัยและตอนยังเป็นเด็ก รูปร่างตอนโตจะมีการผสมผสานระหว่างมังกรกับม้า ส่วนรูปร่างตอนเด็กจะเหมือนลูกกวาง สิ่งมีชีวิตที่พบได้ยากแบบนี้มีความสามารถพิเศษเรื่องการหยั่งรู้จิตวิญญาณ รู้ว่าใครมีจิตใจที่บริสุทธิ์ พรสวรรค์สำคัญของชิลลินที่จะชวยกรินเดลวัลด์ควบคุมพลังได้ ในระหว่างที่ดัมเบิลดอร์วางแผนจะขัดขวางเขา และสัตว์ประหลาดอื่นที่เพิ่มเข้ามายังมี มันติคอร์ สัตว์น้ำจอมตะกละ และ ไวเวิร์น ที่แปลงร่างและบินได้

            ภาพยนตร์เรื่อง “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” ยังคงสานต่อเรื่องราวการข้ามพรมแดนในโลกแห่งเวทมนตร์ ผู้อำนวยการสร้างฯ ทิม ลูอิส เล่าว่า “รู้สึกตื่นเต้นที่ภาพยนตร์ได้พาเราไปยังดินแดนที่แตกต่างกันไป มีรูปแบบความมหัศจรรย์อื่นและได้เข้าไปสัมผัสกับกระทรวงเวทมนตร์อีกแห่ง โดยครั้งนี้เป็นที่เบอร์ลิน”

            การผจญภัยเกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ประเทศจีนไปจนถึงบริเตนใหญ่ จากนิวยอร์คสู่เยอรมันนี และจากเทือกเขาออสเตรียสู่ภูฎาน ภาพยนตร์จะพาผู้ชมหวนคืนสู่โรงเรียนคาถาเวทมนตร์พ่อมดและแม่มดฮอกวอตส์ รวมถึงบริเวณใกล้หมู่บ้านฮอกส์มี้ด  

            ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างเวทมนตร์ในแบบของตัวเองขึ้นมา มีการขยายพื้นที่ในโรงถ่ายและพื้นที่ขนาดใหญ่ของ Warner Bros. Studios Leavesden ที่อังกฤษ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภาพยนตร์โลกของเวทมนตร์มานานกว่า 20 ปีแล้ว

            “ข้อดีอย่างหนึ่งของการขยายเรื่องราวในแบบเจ.เค. โรว์ลิ่ง คือเราสัมผัสได้ว่าพวกเขาจะพาเราไปยังที่ใดบนโลกก็ได้” เยทส์กล่าว “และในเรื่องนี้ก็มีภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั่วโลกจริงๆ”

ทีมงานของช่างฝีมือและผู้ชนาญที่ร่วมงานกับเยทส์ได้สร้างภาพนั้นให้มีชีวิตขึ้นมา รวมถึงผู้ออกแบบฉากฯ สจ๊วต เครก ผู้คุ้นเคยโลกแห่งเวทมนตร์ในจินตนาการของเจ.เค. โรว์ลิ่ง โดยเริ่มจากภาพยนตร์ “Harry Potter” ภาคแรก ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาร่วมทีมกับผู้ออกแบบฉากฯ นีล ลามอนต์ และทั้งคู่มาร่วมงานกับผู้กำกับภาพ จอร์จ ริชมอนด์ ผู้ลำดับภาพที่เยทส์เลือกอย่างมาร์ค เดย์ ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ คริสเตียน แมนซ์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย คอลลีน แอตวูด และผู้ประพันธ์ดนตรีเจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด

            เรดเมย์นเล่าว่าการคิดวางแผนโลกของพ่อมดและโลกที่ไม่มีเวทมนตร์ว่า “มันสร้างความน่าสนใจให้ผมได้เสมอ ไอเดียการเปรียบเทียบควบคู่กับโลกที่เราอาศัยอยู่ มันเหมือนอีกโลกหนึ่งที่มีเวทมนตร์และการผจญภัย มันจุดประกายความสงสัยแบบในวัยเด็กที่ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ และการได้เห็นประเทศอื่นนอกหนือจากสหราชอาณาจักรก็น่าตื่นเต้น”

            เฮย์แมนกล่าวเสริมว่า “มันทำให้นักแสดง ผู้ออกแบบ ช่างฝีมือของเรามีโอกาสขยายจินตนาการและเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่ที่โจสร้างขึ้นมา”

Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore

ทีมนักแสดง

            ในช่วงเริ่มต้นของภาพยนตร์ เราจะพบนิวต์ สคามันเดอร์หาทางข้ามแม่น้ำ และต้องเดินทางผ่านป่าไผ่เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง เขาได้ยินเสียงร้องและรู้ว่ากำลังจะได้พบกับสัตว์ของเขา เพราะชิลลินกำลังจะคลอดลูก

“ผมตื่นเต้นที่ในที่สุดจะได้เห็นนิวต์อยู่ในจุดสูงสุดและมีความสุขที่สุด ได้เข้าป่าออกตามหาสัตว์ต่างๆ” เอ็ดดี้ เรดเมย์นกล่าว “สิ่งหนึ่งที่ผมรักเกี่ยวกับนิวต์คือความแปลกทางร่างกาย บวกกับการไม่ค่อยเข้าสังคมและความคล่องตัวว่องไวเวลาที่อยู่ในโลกของเขา ผมเรียกความสนใจจากเดวิด เยทส์ให้ถ่ายทอดออกมามากขึ้น”

            เยทส์ยืนยัน “เอ็ดดี้ตื่นเต้นมากที่จะได้ถ่ายทอดมุมนั้นของนิวต์มากขึ้น ได้เข้าป่าเพื่อหาชิลลินที่ลึกลับและงดงาม นิวต์เป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์ และเอ็ดดี้ก็อยากจะลงลึกในทุกแง่มุมของบทบาท พรสวรรค์อย่างหนึ่งของเอ็ดดี้คือสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงของเขาได้ เขาสามารถสวมวิญญาณเป็นอีกคนหนึ่ง และกลายเป็นคนนั้นได้อย่างสมจริงเป็นธรรมชาติ เขามีความเป็นมืออาชีพอย่างชัดเจนเมื่อเป็นเรื่องการทำงานของเขา ผมรักความทุ่มเทและพลังที่เขาใส่ลงไปในหนังเหล่านี้”

            เรดเมย์นเองก็กล่าวชมเช่นกัน “เดวิดเรียกผมเข้ามา 1-2 เดือนก่อนเริ่มถ่ายทำ เพื่อคุยเรื่องนิวต์และพัฒนาการของเขา เพราะเดวิดรู้ว่านักแสดงต้องถ่ายทอดความสมจริงออกมาในแบบที่ตรงกับตัวละคร และเขาก็เปิดรับฟังไอเดียต่างๆ ของเรา”

            เมื่อก่อน ความสนใจของนิวต์เกี่ยวกับชิลลินจะเป็นในแง่มนุษยธรรม ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือทั้งสองด้าน ปรากฏว่าเขาต้องอยู่ที่นั่นตามคำสั่งของอาจารย์เก่า อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เมื่อโลกแห่งเวทมนตร์เตรียมเลือกประธานสมาพันธ์พ่อมดแม่มดนานาชาติคนใหม่ และชิลลินสามารถหยั่งรู้จิตใจได้จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลานั้น

            จู้ด ลอว์เล่าว่าการคัดเลือกนั้นได้สร้างความสับสนวุ่นวายให้โลกแห่งเวทมนตร์ “กรินเดลวัลด์ได้รวบบรรดาคนเก่งที่จะก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ ดัมเบิลดอร์ต้องวางแผนขัดขวางกรินเดลวัลด์จากความฝันที่จะสร้างโลกของพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ปกครองเหล่ามักเกิ้ล อีกมุมหนึ่งอัลบัสถูกขัดขวางความตั้งใจเรื่องเกลเลิร์ต ซึ่งนั่นจะเป็นการปลุกสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้คนที่เขาต้องไว้วางใจ และต้องช่วยแก้ไขต้นเหตุของเขา

            “แต่ในมุมที่ผมชอบ” จู้ดเล่าต่อ “คือดัมเบิลดอร์จะคอยผลักดันผู้คนให้ใช้ศักยภาพและความสามารถอย่างเต็มที่ ได้พบกับศีลธรรมในตัวเอง คอยโน้มน้าวว่าสิ่งที่ทำอยู่คือเรื่องถูกต้อง และพกความกล้าหาญเพื่อไปเผชิญหน้ากับความเลวร้ายของกรินเดลวัลด์ นั่นคือหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาทำแบบนั้นเพราะพวกเขามีความใส่ใจและทุ่มเท ความน่าสนใจสำหรับผมอยู่ที่ถึงแม้เขาจะมีความลับในอดีต แต่เขายังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหวัง เพราะเขาพบว่าพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของเขาเป็นเรื่องธรรมชาติมาก เขาสนุกกับมันอยู่ช่วงหนึ่งจนแทบจะเกเร และผมต้องพยายามทำความเข้าใจ แม้แต่ช่วงเวลาที่เลวร้ายหรืออันตรายที่สุด เขาก็ยังหาความสนุกสนานได้ เพราะในฐานะของอาจารย์ ผมคิดว่าเขารู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่ทุกคนจะหาความสนุกกับสถานการณ์นั้นได้และรับมืออย่างเต็มที่”

            เยทส์พูดถึงลอว์ว่า “ร่วมงานด้วยแล้วสนุกมาก เขาอยากสำรวจทั้ง 2 ด้านของดัมเบิลดอร์ ทั้งความสนุกสนานและมีเล่ห์กล รวมถึงอีกด้านที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย คือการเป็นคนโศกเศร้าที่ต้องรับมือกับความรู้สึกผิดต่อการคิดทำลายกรินเดลวัลด์ อีกมุมหนึ่งของตัวละครที่โจให้ความใส่ใจเมาก และเราก็ตื่นเต้นกับการสำรวจการต่อต้านที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับเราและเหมาะสมกับดัมเบิลดอร์ในช่วงวัยนี้”

            “เดวิดคอยให้ความร่วมมือและทำงานเต็มที่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกล้อง” ลอว์กล่าว “เขาจัดการทุกเรื่องได้อย่างชัดเจน จนบางครั้งแทบลืมไปเลยว่าเขายังมีอีกหลายร้อยเรื่องที่เขาต้องจัดการ ขณะเดียวกันเขาก็คอยให้แง่คิดที่ดีมเป็นประโยคหรือคำพูด ซึ่งเราจะได้สนุกสนานกับเรื่องราว แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เดวิดรักที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ที่อยู่ในเรื่อง เขาถ่ายทอดเรื่องนั้นออกมาได้ดีและทำให้เรามีพลังถ่ายทอดมันออกมา”

            “เอกลักษณ์ของความเป็นดัมเบิลดอร์” เรดเมย์นเล่าว่า “เขาจะมีแผนการที่ยากจะเข้าใจ โดยปกติแล้วนิวต์จะถูกส่งออกไปโดยไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้เขายังพอได้รู้อะไรมาบ้าง ตอนนี้อยู่ที่เขาจะแชร์กับในกลุ่มแล้ว เราไม่ร้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและมันก็ยังพอมีโอกาส แต่เชื่อมั่นในตัวผมเถอะ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวดัมเบิลดอร์”

            ครั้งนี้ความคลุมเครือคือสิ่งสำคัญในแผนการของดัมเบิลดอร์ รวมกับสิ่งที่เรียกกันว่า “เอกลักษณ์” เฮย์แมนอธิบายว่า “ดัมเบิลดอร์รู้ว่ากรินเดลวัลด์สามารถเห็นลางแห่งอนาคตได้ เพื่อไม่ให้กรินเดลวัลด์รับมือกับพวกเขาได้ทัน จึงต้องสร้างความสับสนให้เกิดขึ้น ดัมเบิลดอร์ไม่ได้บอกแผนการทั้งหมดกับคนที่เขาขอความร่วมมือ ซึ่งเราน่าจะพอเห็นภาพได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างความสับสน พวกเขาต้องมีความไว้วางใจในตัวเขา”

            เขารู้ดีว่ากองทัพของดัมเบิลดอร์กำลังช่วยกันวางแผนต่อสู้กับเขาอย่างลับๆ กริลเดลวัลด์ยึดมั่นในเป้าหมายของเขา เชื่อว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุด แมดส์ มิคเคลเซนได้เล่าว่า “เป้าหมายของเขาไม่ได้ไร้เหตุผลซะทีเดียว เพราะเขาเชื่อว่ามันจะทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น ซึ่งการที่เขาจะทำให้สำเร็จได้ ทุกคนไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเขาเลย”

            นักแสดงเล่าว่าตัวละครของเขารู้สึกสูญเสียคนที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมแชร์จุดมุ่งหมายให้ฟัง “เกลเลิร์ตและอัลบัสเป็นพ่อมดที่มีพรสวรรค์ ครั้งหนึ่งต่างเคยมีความฝันร่วมกัน อยากทำให้โลกของพวกเขาน่าอยู่มากขึ้น จนเกิดความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นช่วงหนึ่ง… จากนั้นทุกอย่างก็พังทลาย”

            “สิ่งสำคัญคือเราต้องถ่ายทอดคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองคนนี้เคยมีให้กัน” เยทส์กล่าว “ในเรื่องราวจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่างไกลจากคนที่เราผูกพันอย่างแน่นแฟ้น และเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับหลายตัวละคร”

            “กรินเดลวัลด์ยังมีความรู้สึกต่อดัมเบิลดอร์อยู่” เฮย์แมนกล่าว “แม้ว่าบางความรู้สึกจะกลายเป็นความขุ่นเคืองและฝืนใจ เพราะการปล่อยมือของดัมเบิลดอร์อย่างที่เขาเห็น กรินเดลวัลด์จะทำทุกทางเพื่อการเป็นหัวหน้าแห่งโลกเวทมนตร์ แม้ว่าจะต้องจมอยู่กับความเศร้า แต่นั่นไม่ทำให้เขาลดความเลวร้ายลงไปเลย”

            “ผมรักการแสดงของแมดส์ในเรื่องนี้” เยทส์แสดงความเห็น “เขาเป็นนักแสดงที่ไม่ธรรมดา พยายามลองสิ่งใหม่ๆ ตลอด คอยให้ความร่วมมือเต็มที่ และการร่วมงานกับเขานับเป็นเรื่องที่ดีมาก เขาเป็นคนตลกและสามารถพลิกการแสดงสู่ภาพที่น่าจดจำได้”

แม้ว่าจะมีการสาบานเลือด แต่กรินเดลวัลด์ไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องการขัดขวางของดัมเบิลดอร์เลย เขาคิดเรื่องนั้นและเอาครีเดนซ์มาอยู่ภายใต้การปกครอง คอยดูแลให้ทำภารกิจอันน่ากลัว

และด้วยความเจ้าเล่ห์ของเขา เขาได้ปลุกชื่อจริงของครีเดนซ์กลับมา: ออเรเลียส ดัมเบิลดอร์

            เอซร่า มิลเลอร์เล่าว่า “ผมคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครีเดนซ์เหมือนเรื่องที่มีความขัดแย้งกันในตัว มุมหนึ่งเขาบุคลิกลักษณะและความรู้สึกตามเจตนาของดัมเบิลดอร์ ควบคุมเขาเหมือนเป็นคนโปรดในบรรดาผู้ติดตาม อีกมุมหนึ่งคือเขามีความสับสนและมีคำถามมากมาย สิ่งที่เขาเป็นอยู่ตามมาหลอกหลอนเขา และเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเขา  ออบสคูรัสเป็นพลังของเขา เขาสร้างความผิดปกติให้เกิดขึ้นหลายครั้ง และเป็นเวทมนตร์ที่ทำลายตัวเขาจากภายใน เราจึงพบครีเดนซ์อยู่ในจุดที่อุ่นใจและมีตัวตนในแบบที่เขาตามหา ดูเหมือนเขาควรจะทำอะไรได้ดีขึ้น แต่แน่นอนว่าเขามีความจริงที่ซ่อนอยู่ นั่นไม่ใช่บ้านที่เขาตามหา และไม่ใช่พ่อในแบบที่เขาตามหา เหมือนเขาถูกควบคุมความรู้สึก ซึ่งความจริงแล้วคือเขาถูกหลอกลวง”

            มิลเลอร์ยกเครดิตให้ผู้กำกับฯ ที่ช่วยเขาถ่ายทอดทั้งสองบุคลิกนั้นออกมาได้ “เราคุยหลายเรื่องเกี่ยวกับความซับซ้อนที่พยายามถ่ายทอดออกมาจากตัวครีเดนซ์” นักแสดงกล่าว “มันมีทั้งการเสียความรู้สึกจากการเฝ้าระวังตัวเองของครีเดนซ์ที่ต้องเจ็บปวด แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นการทำให้เขาตื่นเต้นและรู้ที่มาของตัวเอง เดวิดแสดงความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ออกมาได้ดีมาก มันจึงเป็นเรื่องดีที่มีผู้กำกับฯ แบบนี้ โดยเฉพาะการเน้นย้ำตัวละครแบบนี้ สิ่งที่ผลักดันเขาไม่เคยมีเพียงมิติเดียว มันมีหลากหลายแง่มุมและมีความขัดแย้งอยู่ในตัว เราเลยต้องแน่ใจว่าจะถ่ายทอดทุกอย่างออกมาได้ รวมทุกความแตกต่างใส่เข้าไปในตัวเขา และต้องแสดงให้เห็นถึงพลังความเชื่อมั่นของเขาด้วย”

            “เอซร่าเป็นนักแสดงยอดฝีมือที่อยากแสดงเต็มที่กับทุกฉาก และการร่วมงานกับเขาก็สนุกมาก” เยทส์กล่าว

            ครีเดนซ์ได้พบกับความรู้สึกที่คล้ายกันในตัวควีนนี่ โกลด์สตีนเพราะ “ทั้งคู่ต่างเป็นคนนอก” อลิสัน ซูโดลกล่าว “ทั้งคู่มาถึงจุดที่ผ่านบาดแผลมามากมาย ตอนท้ายของภาคที่ 2 ควีนนี่ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงสุดช็อค ซึ่งฉันคิดว่าหลายคนเซอร์ไพรส์ มันทำให้ฉันเซอร์ไพรส์เช่นกันตอนที่รู้ครั้งแรก” เธอกล่าว “ควีนนี่ตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบ แต่เธอเชื่อเรื่องความรักของจาค็อบ เพราะเธออยากเปลี่ยนแปลงกฎในโลกแห่งเวทมนตร์เพื่ออยู่กับเขา เธอพลาดที่ไว้วางใจกรินเดลวัลด์ เขาคือจอมบงการที่มาพบเธอในช่วงที่กำลังอ่อนแอ และพูดในสิ่งที่เธออยากได้ยิน แต่มันทำให้เธอต้องตัดขาดจากคนที่เธอรักและทุกสิ่งที่เธอรู้ว่าเป็นเรื่องจริง เขาเป็นคนฉลาดมาก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาดูอันตรายมาก ช่วงแรกของเรื่องนี้เราจะเห็นควีนนี่เผชิญปัญหา ขาดการติดต่อทั้งกับตัวเองและเส้นทางของเธอ แสงสว่างของเธอยังไม่ดับลง แต่มันกำลังเบาบาง…และต้องรู้ความจริงว่าเธอต้องรับมืออยู่กับใคร”

            มิคเคลสันเล่าว่ากรินเดลวัลด์ไม่สนใจความสงสัยของควีนนี่เลยสักนิด มันไม่ทำให้เขากังวลอะไรเลย “เขาดูภูมิใจที่บงการคนที่รู้จักและไม่อยู่ข้างเขาอย่างเต็มตัวได้ จะเห็นว่าเขาชักจูงทุกคนได้และเป็นสถานการณ์ที่มีแต่คนได้ประโยชน์ หากเขาทำไม่ได้ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เราต้องเก็บศัตรูไว้ใกล้ชิด และควีนนี่ก็มีประโยชน์มาก เพราะเธอเป็นเลจิลิเมนส์ที่อ่านใจได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับกรินเดลวัลด์ และยังมีความสนุกตรงที่เราไม่เคยรู้เลยว่าถูกแทงข้างหลัง ซึ่งเขาชอบเกมนั้น” เขากล่าว

            ควีนนี่ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องรับมือกับความสูญเสียและความรู้สึกผิด ย้อนกับไปที่นิวยอร์ค ธุรกิจเบเกอรี่ของจาค็อบที่เคยประสบความสำเร็จกลับล้มไม่เป็นท่า และเขาไม่จัดการอะไรให้ดีขึ้นเลย แดน ฟอกเลอร์ ยืนยันว่า “ครั้งแรกที่เราพบจาค็อบ เขาอยู่ในจุดที่ว่างเปล่า มันสะท้อนถึงเรื่องราวที่อยู่ในใจของเขา ควีนนี่คือสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเขามาก ตั้งแต่เธอทิ้งเขาไป เขาก็ไม่เป็นตัวเองอีกเลย มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ เขาสูญเสียเธอและความสนใจเรื่องการอบขนม เขาอกหักและหดหู่มาก”

            สิ่งเดียวที่จาค็อบยังไม่สูญเสียไปคือความกล้าหาญและความมีมนุษยธรรมของเขา ทันทีที่เขาเห็นผู้หญิงถูกก่อกวนตรงข้ามร้านเบเกอรี่ของเขา เขาไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วย แม้ว่าฝั่งตรงข้ามจะมีถึง 3 คนก็ตาม “เขามีเพียงไหวพริบและความใจดี แถมยังกล้าหาญมากด้วย” ฟอกเลอร์ยืนยัน “ผมเคยบอกกับเจ.เค. โรว์ลิ่งตอนที่เราพยายามจินตนาการบ้านของแต่ละคนว่า ‘เขาคือฮัฟเฟิลพัฟฟ์ เพราะเขารักการทำอาหารและการทำขนม จริงมั้ย?’ แต่เธอบอกว่า ‘ไม่นะ เขาคือกริฟฟินดอร์ เพราะเขาเป็นนักสู้’ มันทำให้ผมอึ้งไปเลย นั่นเป็นรายละเอียดที่มีความหมายต่อการถ่ายทอดความเป็นเขาออกมามาก เขาอาจจะเป็นนักอบขนม แต่สิ่งแรกคือเขาเป็นนักสู้ซึ่งผมรักจุดนั้น”

            ผลลัพธ์คือผู้หญิงคนนั้นรอดพ้นจากอันตราย… และเธอไม่ได้ปรากฏตัวที่นั่นอย่างบังเอิญ เจสสิก้า วิลเลียมส์ เล่าว่า “เธอคือยูลาลี่ ฮิคส์ หรือในชื่อแลลลี่ ศาสตราจารย์ผู้มีเสน่ห์แห่ง Ilvermorny เธอถูกส่งตัวมาเพื่อพาจาค็อบกลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์ ซึ่งตอนนั้นจะเห็นว่าเขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับอะไรเลย แต่เธอเล่าเหตุผลที่ต้องการตัวเขามาร่วมภารกิจนี้ เหมือนเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกของเขา และโน้มน้าวให้เขากลับไปพร้อมเธอ

“แลลลี่เฝ้าระวังความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น” วิลเลียมส์เล่าต่อ “และดัมเบิลดอร์รู้ว่าเขาเชื่อใจและวางใจเธอได้ เธอเป็นคนตรงไปตรงมาและมีศีลธรรม มีความเป็นตัวของตัวเอง ดูเป็นตัวละครที่มีสีสัน เธอเป็นคนตลก มีความซื่อสัตย์ และฉลาดมากด้วย”

            “The Secrets of Dumbledore” เป็นผลงานแรกของวิลเลียมส์ในโลกแห่งเวทมนตร์บนจอยักษ์ นักแสดงหญิงเป็นแฟนผลงานในโลกของเจ.เค. โรว์ลิ่งบนกระดาษมาอย่างยาวนาน “ฉันโตมาพร้อมกับการอ่านหนังสือ ไม่ได้ตกหลุมรักแค่เรื่องราว แต่รวมถึงจินตนาการที่เราเหมือนมีเวทมนตร์ด้วย” เธอกล่าว “การได้เป็นส่วนหนึ่งใน ‘Fantastic Beasts’ เหมือนฝันที่เป็นจริงเลยค่ะ”

            สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในความฝันนั้น คือวิลเลียมส์ที่ถูกโรว์ลิ่งคัดเลือกมาด้วยตัวเอง “ฉันเคยไปถ่ายรายการ ‘The Daily Show’ และโจก็เป็นแฟนรายการนั้น เรายังเกิดวันเดียวกันด้วย ซึ่งบังเอิญเป็นวันเดียวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ เธอส่งข้อความมาหาฉันทางทวิตเตอร์ จากนั้นฉันได้ดินเนอร์กับเธอที่ลอนดอน แล้วเธอส่งอีเมล์มาหาว่ากำลังมีตัวละครหนึ่งที่เธอคิดว่าเหมาะกับฉัน”

            เยทส์เห็นด้วยกับการคัดเลือกนั้น “เจสสิก้ามีความน่าทึ่งและสร้างความมหัศจรรย์ให้โลกใบนี้มากขึ้น เธอเป็นนักแสดงและนักแสดงตลกที่สร้างความสดใสให้ในฉากจนผมมีความสุข”

            แลลลี่ได้ลากจาค็อบขึ้นรถไฟที่ไม่มีหลังคา พาทีมที่รวมดัมเบิลดอร์เดินทางผ่านเยอรมันเพื่อมุ่งหน้าสู่เบอร์ลิน จาค็อบได้กลับมาเจอนิวต์และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบกับเพื่อนของเขา เรดเมย์นเล่าว่าเขามีความคุ้นเคยกับตัวละครนี้ “มิตรภาพระหว่างนิวท์และจาค็อบคือสิ่งที่ผมชอบ ในเรื่องนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ แต่แดนกับผมจะมีช่วงเวลาที่ถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาได้”

            ในส่วนของภารกิจที่ได้รับมอบหมายรายบุคคล  ดัมเบิลดอร์ได้ส่งของพิเศษให้กับสมาชิกในทีมบางคน รวมถึงบางสิ่งที่พิเศษสำหรับจาค็อบด้วย ฟอกเลอร์เล่าว่า “นิวท์มอบไม้กายสิทธิ์ให้จาค็อบ ซึ่งเป็นฉากที่น่ารัก เขายังถือกระทะอยู่เลยตอนที่เขาถูกลากเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้ และตอนที่นิวท์มอบไม้กายสิทธิ์ให้เขา เขาก็วางกระทะลง มันเป็นภาพที่เปรียบเทียบได้ดีมาก เขาวางอุปกรณ์ทำขนมลงและคว้าอุปกรณ์พ่อมด จนในที่สุดผมมีไม้กายสิทธิ์และเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ผมแฮปปี้กับไม้กายสิทธิ์ที่สุด” เขาหัวเราะ “ถ้าคุณมีโอกาสได้รับไม้กายสิทธิ์ ผมขอแนะนำมันสุดตัวเลย”

            ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ช่วยคนสำคัญของนิวท์อย่างบันตี้ โบรดาครีอยู่เคียงข้างเขา ครั้งนี้คำแนะนำของเธอมาจากดัมเบิลดอร์ ผู้ทำให้เธอมีบทบาทสำคัญในภารกิจนี้ วิคตอเรีย ยีทส์กลับมารับบทที่เธออธิบายเอาไว้ว่า “เปรียบเหมือนมือขวาของนิวท์ที่หลงใหลในตัวเขา แต่นิวท์ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนั้นเป็นพิเศษ เธอเชื่อถือได้ น่าไว้วางใจ และเป็นการเป็นงานมาก ฉันคิดว่าดัมเบิลดอร์มองเห็นสิ่งนั้น เขาเห็นความซื่อสัยต์และความมุ่งมั่น คนที่กล้าจะทำในสิ่งที่เขาร้องขอ เธอเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในหนังเรื่องนี้ เห็นแล้วรู้สึกดี ฉันชอบเล่นตัวละครที่มีอะไรมากกว่าที่เราคิดไว้ และนั่นก็ตรงกับบันตี้มากค่ะ”  

            ตัวละครปริศนาจากภาคที่แล้วอย่างพ่อมดฝรั่งเศส-แอฟริกัน ยูซุฟ คามา มารวมกลุ่มครั้งนี้ด้วย ซึ่งในช่วงแรกเขามาเพราะเหตุผลส่วนตัวเป็นหลัก วิลเลียม นาดีแลม เล่าว่า “กรินเดลวัลด์ฆ่าน้องสาวของคามาต่อหน้าต่อตา ซึ่งเธอเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของครอบครัวเขาที่เหลืออยู่ เขามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวใหม่เพราะเขาเชื่อมโยงผ่านลีต้าถึงนิวท์และธีซีอุส ในภาษาฝรั่งเศสเราเรียกว่า Par la force des choses ซึ่งหมายถึงพลังจากสภาวะแวดล้อม เขาจะช่วยทุกคนต่อสู้กับกรินเดลวัลด์ นั่นคือจุดเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ของคามา”

            ลีต้าเคยเป็นรักของนิวท์ตอนเด็กและเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน จนต่อมากลายเป็นคู่หมั้นของธีซีอุสพี่ชายของเขา คอลลัม เทอร์เนอร์เล่าถึงความตายของเธอว่า “สร้างความเสียใจให้กับทั้งคู่ แต่ก็ทำให้สองพี่น้องกลับมารวมตัวกันได้หลังจากไม่แยแสกันมานานหลายปี เรื่องพี่น้องและครอบครัวเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก มันอาจจะขัดแย้งกันได้ง่าย แต่ถ้าพวกเขาสามารถแก้ไขความสัมพันธ์และกลับมาใกล้ชิดกัน ใครจะรู้ว่าความสามารถของพวกเขาจะช่วยเอาชนะกรินเดลวัลด์ได้”

            เรดเมย์นเล่าเสริม “ความซับซ้อนในสายสัมพันธ์ของพี่น้อง เวลาที่เรามีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันแต่ไม่มีอะไรคล้ายกันเลย นั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับผม มันเหมือนกับนิวต์และธีซีอุสที่รักกันมาก แต่มีการมองโลกที่แตกต่างกัน มันเป็นความสนุกในการถ่ายทอดบทนั้นร่วมกับคอลลัมเพราะผมชื่นชอบเขา”

            “มิตรภาพระหว่างเอ็ดดี้กับผมเกิดขึ้นจากตัวละครของเรา แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เราเป็นด้วย” เทอร์เนอร์กล่าว “ผมรักการทำงานร่วมกับเขาและรักการเล่นหนังแนวนี้ด้วยกัน”

            เรื่องราวในครอบครัวยังถ่ายทอดผ่านความเป็นพี่น้องของอัลบัสและอาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกัน รวมถึงเรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นกับเอเรียน่าน้องสาวของพวกเขาด้วย ริชาร์ด คอยล์ ยืนยันว่า “ผมคิดว่าอาเบอร์ฟอร์ธไม่ชอบใจนักที่ต้องอยู่ในเงาของพี่ชายที่มีชื่อเสียง มันเป็นความสัมพันธ์ที่อธิบายได้เพียงไม่กี่คำ แต่มีหลายอารมณ์ที่เก็บซ่อนเอาไว้ ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวที่น่าติดตาม จู้ดกับผมสนุกกับการถ่ายทอดเรื่องราวและมีเคมีร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ เรามีพี่น้องกันทั้งคู่ และเข้าใจความไร้สาระที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องดี มันช่วยได้เยอะเลยครับ

            “นับเป็นเกียรติมากที่ได้รับบทดัมเบิลดอร์ และตัวละครที่มีชื่อเสียงในโลกของพ่อมด” คอยล์กล่าวต่อ “และมันก็น่าสนุกที่ได้ถ่ายทอดบทอาเบอร์ฟอร์ธที่เป็นน้อง เขาเป็นตัวละครที่มีสีสัน ผมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อแฟนๆ ของเจ.เค. โรว์ลิ่งและอาเบอร์ฟอร์ธ เพื่อให้เขามีอารมณ์ที่ตรงกับตัวละคร”

“ทุกคนรู้ดีว่าความเครียดในครอบครัวมีอะไรบ้าง” เฮย์แมนกล่าว “ไม่ว่าเราจะรักพี่น้องขนาดไหน เรื่องราวในอดีตหรือช่วงที่ทะเลาะกันมันส่งผลกระทบกับปัจจุบัน ดูเหมือนนี่เป็นเรื่องในครอบครัว แต่มันมีทั้งครอบครัวที่แท้จริงและครอบครัวของเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่ต้องรวมตัวกันเพื่อต่อสู้ปกป้องโลกแห่งเวทมนตร์”

ประเด็นสำคัญของการต่อสู้ “คือการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นประธานสมาพันธ์พ่อมดแม่มดนานาชาติคนใหม่ที่จะเป็นผู้นำโลกแห่งเวทมนตร์ทั้งหมด” เยทส์อธิบาย “ดัมเบิลดอร์ให้นิวท์ไปส่งข้อความถึง แอนตัน โวเกล ผู้นำที่กำลังจะลงจากตำแหน่งไม่ให้กรินเดลวัลด์เข้าใกล้ ไม่ใช่นั้นจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่ใช่แค่ในโลกของพ่อมดแต่รวมถึงโลกของมักเกิ้ลด้วย นี่คือเรื่องสำคัญตามข้อความที่กล่าวว่า “จงทำตามความถูกต้อง ไม่ใช่ตามความง่าย’”

โอลิเวอร์ มาซุช เล่าว่า “โวเกลเห็นกองทัพผู้ติดตามของกรินเดลวัลด์บนท้องถนน และหวาดกลัวว่าถ้าไม่ให้เขาลงสมัครเป็นผู้ท้าชิง มันจะเกิดการปฏิวัติขึ้นได้ เขาต้องตัดสินใจเรื่องนี้อย่างหนัก”

เหล่าผู้ท้าชิงที่ถูกต้องตามเกณฑ์ ได้แก่ ลิ่ว เต๋า จากประเทศจีน และวิเซนเซีย ซานโตส จากประเทศบราซิล ซึ่งเป็นตัวละครโปรดที่น่าจับตามอง “ซานโตสเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจ” มาเรยี เฟอร์นันโด แคนดิโด กล่าว “และฉันรักที่ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผู้หญิงที่แข็งแกร่ง โลกแห่งเวทมนตร์มีแฟนๆ มากกว่าที่เรานึกภาพออกที่บราซิล และฉันคิดว่าพวกเขาจะแฮปปี้มากที่มีตัวละครซานโตสเป็นตัวแทนพวกเขา”

เยทส์เล่าถึงเหล่านักแสดงว่า “เรามีทีมนักแสดงที่น่าทึ่งมาก ทุกคนที่มาเข้าฉากรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานที่ยาวนาน ทุกคนทุ่มเทสุดตัวและพวกเราก็เต็มที่กับทุกคนเช่นกัน แม้พวกเขาจะอยู่ที่นั่นแค่ 1-2 วัน แต่ก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดอย่างเต็มที่เช่นกัน”

Fantastic Beasts

สิงสาราสัตว์

            ตามธรรมเนียมของซีรีส์ “Fantastic Beasts” เรื่อง “The Secrets of Dumbledore” มีสัตว์แห่งเวทมนตร์หลากหลายชนิดทั้งใหม่และที่คุ้นตา แต่ไม่มีใครมีความสมบูรณ์ไปมากกว่าชิลลิน “ชิลลินเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญของเรา” ทิม ลูอิส กล่าว “ในบทภาพยนตร์โจได้อธิบายรายละเอียดให้เราไว้แล้ว แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขั้นตอนการออกแบบที่แสนยาวนาน กว่าจะกำหนดทิศทางที่แคบลงให้พวกเราทำงานได้”

            ชิลลินในโลกแห่งเวทมนตร์มีต้นกำเนิดอิงจากสัตว์ในเทพนิยายที่มีชื่อเดียวกัน ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ฯ คริสเตียน แมนซ์ เล่าว่า “นับเป็นความท้าทายเพราะสัตว์ในเทพนิยายเหล่านี้มักจะมีการผสมผสานมาจากสัตว์ที่มีอยู่จริงหลายชนิด อันที่จริงมีการตีความของชิลลินแตกต่างกันหลายแบบ อาจดูเหมือนกวาง บางครั้งก็เหมือนเขากวางและบางครั้งก็ไม่ใช่ มีหัวเป็นสิงโตบ้าง… แต่เราอยากให้สัตว์ของเราดูภายนอกแล้วเหมือนเป็นมนุษย์ด้วย”

            ในภาพยนตร์ชิลลินที่โตเต็มวัยทำให้นึกถึงม้ามังกร สีที่เหมือนรุ้งดูเหมือนจะเปล่งแสงออกมาได้ ส่วนตอนเป็นเด็กจะมีลักษณะเด่นแต่มีการออกแบบที่แตกต่างไป แมนซ์เล่ารายละเอียด  “ผู้ควบคุมแอนิเมชัน นาธาน แม็คคอนเนล มีโอกาสอ้างอิงจากดิ๊ก-ดิ๊ก ซึ่งเป็นละมั่งงตัวเล็ก มีจมูกและปากที่ดูแปลกตา เหมือนกับจมูกและปากของตัวกินมดที่สั้นลง และท่าทางการดมกลิ่นของมันก็น่ารักมาก พอเราเอาให้เดวิด เยทส์ดู เขารักมันมากมาย ต้นฉบับของมันดูมหัศจรรย์กว่าที่เรานึกภาพออก แล้วทำไมถึงไม่ใช้อ้างอิงเวลาที่มีโอกาสล่ะ?”

            บทบาทของชิลลินเกี่ยวข้องกับการเลือกผู้นำแห่งโลกเวทมนตร์คนใหม่ เยทส์อธิบายว่า “ชิลลินสามารถหยั่งรู้จิตใจคนได้ สัมผัสได้ถึงจิตใจอันดีงามและบริสุทธิ์ ในโลกแห่งเวทมนตร์ที่ผ่านมา ชิลลินได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกต่างๆ โดยผู้ท้าชิงทุกคนจะเข้าแถวเรียงกันและชิลลินจะเดินไปหาผู้ท้าชิงแต่ละคน หากมันโค้งคำนับใครก็จะจูงใจในการเลือกได้”

            มันติคอร์เคยปรากฏให้เห็นทั้งตอนโตเต็มวัยและลูกหลานของมัน แต่เป็นสัตว์ที่มีความแตกต่างจากชิลลินผู้อ่อนโยน เยทส์เล่าว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ “ผมบอกกับโจ สตีฟ และเดวิดว่า เราพอจะใส่สัตว์ที่ดูน่ากลัวลงไปเพื่อความเปลี่ยนแปลงได้มั้ย?’  เรามีสัตว์ที่ชวนน่าหลงใหล น่ารัก และดูตลกมาแล้ว แต่ในส่วนของมันติคอร์ ผมได้พบกับความสมดุลระหว่างความตลกและความน่ากลัวในแบบที่ผมรัก”

            ซึ่งมีการผสมข้ามสายพันธุ์กันระหว่างปูหรือล็อบสเตอร์และแมงป่องด้วย มีดววงตากลมโตถึง 3 ดวง มันติคอร์จอมตะกละมีความโหดร้ายและไร้ความปรานี “ผู้คุม” แห่งเรือนจำที่ธีอุสพบกับตัวเอง “แม่มันติคอร์ขนาดใหญ่อยู่ในห้วงลึกของเรือนจำ และมันต้องให้อาหารลูกน้อยอีกจำนวนมาก ลักษณะการให้อาหารก็ช่างน่ากลัว แต่อีกมุมหนึ่งก็ดูน่าตลก” เยทส์กล่าว  

            ธีซีอุสอาจเคยหัวเราะในการประกาศตัวของนิวท์ แต่เขาหัวเราะไม่ออกเลยเมื่อนักสัตว์วิเศษวิทยาโผลมาช่วยเหลือเขา เขาใช้ความรู้ที่มีจัดการเรื่องเบบี้มันติคอร์  “พวกเขาเชียร์ให้นิวท์เต้นท่าประหลาด” เรดเมย์นหัวเราะ “มันคงไม่ใช่ ‘Fantastic Beasts’ ถ้าไม่มีผมทำอะไรน่าตลก ซึ่งรวมถึงการเต้นท่าประหลาดด้วย”

            ในเรื่องความรับผิดชอบของนักแสดง เยทส์กล่าวเสริมว่า “การหมุนสะโพกแบบนั้นอาจดูไม่ยาก แต่เวลาที่เราต้องแสดงหลายเทคติดกันนาน 7 ชั่วโมง มันเป็นเรื่องที่หนักหน่วง เอ็ดดี้ทุ่มเทเต็มตัวจนร่างกายเหนื่อยล้าทุกวัน ซึ่งนั่นก็บอกอะไรหลายอย่างในตัวเขาแล้ว”

            ในภาพยนตร์ยังแนะนำสัตว์ที่เป็นนกอย่างไวเวิร์น ซึ่งโผล่ออกมาจากกระเป๋าของนิวท์ในเวลาอันเหมาะสม สำหรับการออกแบบสิ่งมีชีวิตที่แปลงร่างได้นี้ แมนซ์เล่าว่า “หนึ่งในศลปินของเราเกิดไอเดียเรื่องมังกรที่เป่าให้ตัวเองบินได้ เหมือนบอลลูนลมร้อน มันเป็นอะไรที่สนุกหลุดโลกมากครับ” ระหว่างลอยกลางอากาศไวเวิร์นจะแปลงร่างอีกครั้ง มันจะสยายปีกออกมาและตัวเล็กลง มันมีหางที่ยาวและสามารถแบกรับน้ำหนักที่มากกว่าตัวมันได้หลายเท่า

            นิวท์ต้องร่วมผจญภัยอีกครั้งกับพิกเกตต์ โบว์ทรัคเคิลที่กล้าหาญและรอบรู้ นิฟเฟลอร์ที่มีนิสัยแบบเดิมอย่างเท็ดดี้ เรดเมย์นเล่าว่า “พิกเกตต์มีความฉลาดและช่วยเหลือได้มาก ส่วนนิฟเฟลอร์จะคอยขโมยซีนตลอดเวลา และทำให้ชีวิตของนิวท์วุ่นวายเหมือนเดิม” เขาแซว “พวกมันค่อนข้างเอาแต่ใจและสร้างความสดใสในเรื่องนี้ แต่ผมไม่อยากพูดอะไรมาก บอกได้แค่ว่าทั้งพิกเกตต์และเท็ดดี้มีความเป็นฮีโร่มากขึ้นในเรื่องนี้”

            สัตว์ที่แฟนในโลกเวทมนตร์ต้องรู้จักและหลงรักอย่างฟีนิกซ์ได้บินทะยานเข้ามาในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับครีเดนซ์และสะท้อนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตัวเขา แมนซ์เล่าว่า “เราอยากทำให้มันดูใกล้ถึงจุดจบวงจรชีวิตของมัน มันเลยมีสีแดงและมีชีวิตชีวาน้อยลง ดูแก่ขึ้นกว่าที่เราเคยเห็นเยอะเลย มีเปลวไฟโผล่มาจากปีกและปล่อยเถ้าถ่านออกมาตอนที่บิน มันเป็นการดีไซน์แบบเดิมเหมือนที่เห็นในหนังภาคก่อน แต่ดูอ่อนเพลียลงกว่าเดิมเยอะ”

            และเช่นเดิม กลุ่มผู้ชำนาญด้านหุ่นจำลองนำโดยผู้ควบคุมหุ่นจำลองสิ่งมีชีวิต ทอม วิลตัน มาร่วมเป็นผู้ช่วยนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ พวกเขาจะมีสัตว์จำลองที่จับต้องได้และเคลื่อนไหวได้แต่ละตัวให้นักแสดงสามารถโต้ตอบได้ พวกหุ่นจำลองทำหน้าที่เหมือนสแตนอินของสัตว์ต่างๆ เยทส์และทีมกล้องจะได้จัดเฟรมและกำหนดแต่ละฉากของพวกมันได้

โลกแห่งเวทมนตร์ทั่วโลก

            ฉากแอ็คชั่นของ “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” ขยายไปถึง 6 ประเทศใน 3 ทวีป แต่มีการถเก็บภาพฟุตของจริงที่เล็กลง ต้องขอบคุณในความสามารถและความสร้างสรรค์ของหัวหน้าแผนกต่างๆ และทีมงาน กองถ่ายที่เก็บภาพขนาดใหญ่ในโรงถ่ายและอีกหลายฉากที่ Warner Bros. Studios Leavesden ในวอทฟอร์ด ประเทศอังกฤษ 

“ผมมีทีมงานที่เก่งมาทำให้หนังเรื่องนี้เป็นรูปร่างขึ้นมาได้” เยทส์ยอมรับ “การสร้างหนังสเกลระดับนี้มีความท้าทาย แต่มันง่ายขึ้นเมื่อเราสร้างและแก้ไขปัญหาร่วมกับกลุ่มคนที่เราไว้วางใจ พวกเขาอยู่เคียงข้างเราและเราอยู่เคียงข้างพวกเขา สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมอยากร่วมงานในหนังเหล่านี้ไปอีกนาน คือการได้ร่วมงานกับคนที่ผมเคารพ ชื่นชม และรักพวกเขา”

ศิลปินแห่งตำนานที่ยังคงอยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์ในภาพยนตร์ คือผู้ออกแบบฉากแห่งตำนาน สจ๊วต เครก ได้ออกแบบฉากต่างๆ ทั่วโลกควบคู่กับผู้ออกแบบฉาก นีล ลามอนต์ เฮย์แมนเล่าว่า “ผมโชคดีที่เคยร่วมงานกับสจ๊วต เครกมานาน 20 ปี และคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบที่มีฝีมือที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาสามารถเสกโลกออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แต่สามารถเข้าถึงและมีความสมจริงมาก ผมคิดว่ากุญแจสำคัญของโลกที่โจสร้างขึ้นมาและตัวละครต่างๆ คือเรื่องความสมจริง ซึ่งในการออกแบบของสจ๊วตเขาถ่ายทอดทั้งสองสิ่งนั้นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและน่าอัศจรรย์ พร้อมถ่ายทอดความสมจริงได้อย่างโดดเด่น”

ลามอนต์เคยรวมงานกับเครกมาแล้วในฐานะผู้ควบคุมการกำกับศิลป์ในเรื่อง ‘Harry Potter’ เขาเล่าว่า “เราโทรหาสจ๊วต ไมว่าเราจะต้องร่วมกับออกแบบอะไรก็ตาม มันคือมิตรภาพของเราตลอดกาล หนังเรื่องนี้เหมือนการฝึกหัดขั้นสุดท้ายของผม ทุกวันผมรู้ว่าจะได้เรียนรู้บางอย่างจากเขาที่จะมีผลไปตลอดการทำงานของผม”

จีน

            นิวท์พบกับชิลลินในเทือกเขาอันไกลโพ้นแถวเอเชีย สำหรับการสร้างบรรยากาศนั้นขึ้นมาใหม่ให้ดูสมจริง ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ต้องหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับฉากภารกิจตามล่าสัตว์สุดล้ำค่าของนักสัตว์วิเศษวิทยา โดย The Detian Falls ทางตอนใต้ของประเทศจีนเขตชายแดนของเวียดนาม และ Li River ดูจะเหมาะสำหรับฉากนั้น

ลามอนต์เล่าว่า “ที่ Li River มีความน่าทึ่งมาก มันมีกำแพงหินปูนที่มีลายเป็นริ้วเก่าแก่และเห็นรอยคราบน้ำ ส่วนที่ Detian Fall ก็เป็นน้ำตกหลายชั้นที่น่าทึ่ง มีทั้งชั้นที่น้ำแรงเสียงดังไปจนถึงชั้นที่เงียบมาก” นอกจากนั้นยังมี ion, Moon Hill ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ที่มีช่องตรงกลางเป็นทรงดวงจันทร์ ซึ่งที่นั่นคือต้นแบบรังของชิลลิน

            แมนซ์ร่วมออกความเห็นว่า “เราบินโดรนไปรอบๆ เพื่อดูขนาดของพื้นที่และเก็บภาพฟุตเทจ ซึ่งจะนำไปอ้างอิงก่อนการถ่ายทำ มาตรฐานของผมคือเรื่องความสมจริงเสมอ เราพยายามเก็บภาพจริงให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ทีมงานจะได้สร้างฉากดิจิตอลบางส่วนอิงจากต้นฉบับที่ต้องการได้ มันคือการผสมผสานกันอย่างแท้จริงระหว่างฉากที่เราสร้างขึ้นมาได้จริงกับสิ่งที่ทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์สร้างขึ้นหลังการถ่ายทำเลยครับ”

            ลามอนต์เองถึงกับยอมรับว่ารู้สึกเซอร์ไพรส์ เมื่อพวกเขาบอกว่าจะสร้างน้ำตกจริงขึ้นมาในโรงถ่าย “พวกเขาบอกว่า ‘เราจะสแกนภาพนั้นและสร้างน้ำตก Detian Falls ในเวอร์ชันของเราขึ้นมา’ ผมคิดว่า ‘ไม่นะ เราจะสร้างน้ำตกขึ้นมาในสหราชอาณาจักร’ พอเรากลับบ้านก็เริ่มวางแผนกัน ปรับพื้นที่ให้สูงขึ้น สร้างแบบจำลองและสร้างน้ำตกที่น่าทึ่งแห่งนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าต้องมีการอาศัยสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ ผมถามว่า ‘จะสูบน้ำเข้ามาในฉากนี้อย่างไร? มีความเป็นไปได้หรือ? พวกเขาแค่มองผมและตอบว่า ‘แน่นอน มันต้องเป็นไปได้’ การได้รับการสนับสนุนจากแผนกอื่นๆ อย่างอัตโนมัติแบบนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก”

ฉากน้ำตกมีความสูง 40 ฟีตและมีป่าไผ่สูง 30 ฟีตอยู่ด้านบน ทีมงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์นำทีมโดยผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ อลิสแทร์ วิลเลียมส์ ร่วมงานกับทีมฝ่ายออกแบบเพื่อปลุกชีวิตให้น้ำตก ปั๊มน้ำแรงดันสูง 8 ตัวถูกใช้สำหรับสร้างเอ็ฟเฟ็กต์ให้น้ำตก โดยแต่ละตัวสามารถส่งน้ำได้ 440 ลิตรต่อวินาที เนื่องจากฉากเหล่านี้ต้องถ่ายทำตอนกลางคืนช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่มีความหนาว จึงต้องเพิ่มความร้อนให้น้ำ 82 ดีกรี (28 องศาเซลเซียส) จนทำให้เรดเมย์นผู้รับบทนิวท์ที่ต้องลงไปแช่น้ำพักหนึ่งถึงกับชื่นชม 

นักแสดงเล่าด้วยความประหลาดใจ “ในภาพยนตร์ ‘Fantastic Beasts’ ทั้งหมด ผมได้เห็นฉากสุดอลังการมาบ้างแล้ว แต่พอมาถึงที่ Leavesden ได้เห็นน้ำตก ภูเขาขนาดใหญ่ที่ปกลุมป่าไผ่ มันทำให้ผมทึ่งมาก แม้เราจะอยู่ที่นั่นยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันมีจริง”

นิวยอร์ค

            ภาพยนตร์มีการหยุดพักกันช่วงสั้นๆ ที่ควีนส์ นิวยอร์ค ที่แลลลี่อ้อนวอนจาค็อบให้กลับไปสู่โลกแห่งเวทมนตร์พร้อมกับเธอ 

โชคดีที่ในส่วนของฉากนิวยอร์คขนาดใหญ่จากหนังภาคแรกยังถูกเก็บไว้ แผนกศิลป์จึงสามารถนำกลับมาสร้างใหม่ได้… แต่มีความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่ง ร้านเบเกอรี่ที่เคยประสบความสำเร็จของจาค็อบ ซึ่งคอยเสิร์ฟขนมปังและขนมหวานที่สดใหมในรูปแบบของสัตว์มหัศจรรย์ของนิวท์กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ มันสะท้อนให้เห็นถึงความเศร้าที่ปกคลุมเมือง และความเศร้าที่มาจากการอกหักของจาค็อบ

Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore

ฮอกวอตส์และฮอกส์มี้ด

            เรียกได้ว่าเป็นความสนุกทั้งของผู้สร้างภาพยนตร์ นักแสดง รวมถึงผู้ชมที่ได้หวนกลับมาสู่ฮอกวอตส์ จุดเริ่มต้นของการผจญภัยแห่งโลกเวทมนตร์ทั้งหมด หลายฉากหายไปแล้วและต้องสร้างขึ้นมาใหม่โดยอาศัยดิจิตอล รวมถึงฉาก Great Hall และ Room of Requirement ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงพื้นของฉากสุดท้าย และ Bhutan Prayer Wheel ที่ยังหลงเหลืออยู่

            ห้องทำงานของดัมเบิลดอร์ไม่ใช่ห้องของอาจารย์ใหญ่อย่างที่เขาเน “มันไม่ใช่ห้องทำงานที่โดดเด่นอย่างที่เราคุ้นเคยจาก ‘Harry Potter’ลามนอต์กล่าว “แต่สจ๊วตออกแบบให้มันมีอารมณ์เหมอืนกัน สไตล์เดียวกันและเขามีหอคอยในภายหลังด้วย”

            ลอว์เล่าว่า “ผมรักการย้อนกลับไปหาฮอกวอตส์ เพราะผมคิดว่าเป็นที่ดัมเบิลดอร์รู้สึกเหมือนบ้านาที่สุด มันเป็นสถานที่หลบภัยจากโลกสำหรับเขา”

            ทัวร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับความนิยมใน Leavesden ซึ่งมีหลายฉากที่คุ้นตาจากในหนัง และเป็นผลงานล้ำค่าสำหรับการสร้างหมู่บ้านฮอกส์มี้ดขึ้นมาใหม่ แมนซ์เล่าว่า มีโมเดลฮอกส์มี้ดที่น่ารักในทัวร์ เราสามารถสแกนและใช้เป็นแหล่งอ้างอิงการสร้างทั้งหมู่บ้านของเราได้”

            ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้นักแสดงตื่นเต้นดีใจ โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ชื่นชมเป็นพิเศษอย่างเจสสิก้า วิลเลียมส์ เธอยืนยันว่า “สำหรับฉันที่อ่านหนังสือทุกเล่มและดูหนังทุกเรื่อง การมาอยู่ในฉากเหล่านี้เหมือนความฝันมากค่ะ ฉันไม่เคยเจออะไรน่าประทับใจขนาดนี้มาก่อน ช่วงเวลา 2 เดือนที่เดินเข้าไปในฉากทุกครั้ง ฉันจะรู้สึกว่า ‘ให้ตายเถอะ! เรากำลังอยู่ในฮอกส์มี้ด!’”

            ภายในหมู่บ้านจะมี Hogs Head Inn ที่อาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์เป็นเจ้าของและดูแลบริหาร ในโรงแรมมี 3 ส่วนที่แยกจากกัน คือฉากภายนอกในโรงถ่ายและอีกสองฉากภายในที่สร้างขึ้นในโรงถ่ายเดียวกัน รวมถึงบาร์ด้านล่างด้วย ริชาร์ด คอยล์เล่าว่า “มันดูหมือนจริงจนผมอยากจะดื่มสักแก้วและนั่งใกล้กองไฟ

            เยทส์เล่าว่าแสงไฟที่จัดโดยผู้กำกับภาพ จอร์จ ริชมอนด์ ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้โรงแรมได้ “จอร์จเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนัง ‘Harry Potter’ เขาใส่ความรักลงไปกับการทำงาน เช่น การจัดแสงให้ Hog’s Head Inn เขาทำให้ดูอบอุ่น บรรยากาศชวนย้อนกลับไปหาหนังเรื่องก่อนๆ เขาถ่ายทำทั้งเรื่องออกมาอย่างงดงาม

รถไฟสู่เบอร์ลิน

ทั้งทีมมารวมตัวกันครบเป็นครั้งแรกในรถไฟ ที่นั่นนิวท์เล่าถึงแผนการของดัมเบิลดอร์ระหว่างที่เดินทางสู่เยอรมันนี สำหรับโลกของมักเกิ้ลมันคือรถไฟขนส่งผู้โดยสารทั่วไปที่ไม่มีช่องจัดเก็บกระเป๋าด้านหลัง “แต่อย่างไรก็ตาม” ลามอนต์อธิบายว่า “พอเราเข้าไปด้านใน มันกลับดูกว้างเหมือนรถไฟชั้น 1 เป็นการออกแบบ Art Deco เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเดินทางจากปี 1930 สู่ยุคที่ทันสมัยกว่าหนังภาคก่อน โทนสีดูฉูดฉาดแต่แฝงความมีรสนิยม”

ความหรูหราในรถไฟมีทั้งไม้เมเปิลที่มีสีน้ำตาลและทอง รวมถึงแผงใบไม้สีทอง บาร์และโต๊ะมีรายละเอียดบนแผ่นไม้ ด้านบนเป็นหินอ่อนสีดำและประดับด้วยสีทอง เบาะที่นั่งเป็นหนังสีแดง และยังมีเตาผิงหินอ่อนสีดำที่ทำให้รถไฟดูล้าสมัยน้อยลง ฉากนั้นสร้างขึ้นโดยใช้ลวดที่มีการเคลื่อนไหวโดยสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ ทำให้รถไฟดูเหมือนเคลื่อนที่ไปบนราง

            “มันมีประวัติเกี่ยวกับรถไฟแห่งเวทมนตร์จากแฮร์รี่ พอตเตอร์” เยทส์กล่าว “มันดูแล้วน่าเชื่อถือมาก และสัมผัสได้ถึงเวทมนตร์ของจริงระหว่างที่มันพาเราไปส่งจากที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง รถไฟของเราเป็นฉากหนึ่งที่นักแสดงชื่นชอบ และเป็นฉากโปรดของผมด้วย”

เยอรมันนีและออสเตรีย

             เมื่อเดินทางถึงเบอร์ลิน คามาและบันตี้เดินทางแยกกันตามคำแนะนำของดัมเบิลดอร์ ส่วนคนอื่นเดินทางสู่กระทรวงเวทมนตร์ประเทศเยอรมัน โดยเดินผ่านผนังอิฐที่ปกป้องโลกแห่งเวทมนตร์จากโลกภายนอก เยทส์อธิบายว่า “ผมแปลกใจมาตลอดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราเดินทางผ่านผนังนานขึ้นกว่าพริบตาเดียว ผมเลยบอกกับคริสเตียน แมนซ์ ที่ฉลาดอย่างน่าทึ่งว่า ‘เราทำให้จาค็อบเดินผ่านกำแพงแบบให้เห็นอิฐนูนขึ้นมา เดินผ่านพวกฝุ่นและซากปรักหักพังได้มั้ย? และพวกเขาก็ทำได้ เมื่อจาค็อบเดินผ่านผนังนี้จะเห็นว่าท่าทางการแสดงของแดนเป็นอย่างไร มันค่อนข้างตลกดีครับ”

            สำหรับในโลกแห่งเวทมนตร์ ผู้สนับสนุนผู้ท้าชิงแต่ละคนต่างมารวมตัวกันในการเลือกตั้ง ซึ่งในกลุ่มนั้นมีกลุ่มผู้ติดตามของเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์รวมอยู่ด้วย ป้ายประกาศของผู้ท้าชิงที่มีสีสันทำขึ้นโดยผู้ชำนาญด้านกราฟฟิค เอ็ดดัวร์โด ไลมา และ ไมราโฟรา ไมนา หรือที่รู้จักกันในชื่อไมนาไลมา ผู้รับหน้าที่ด้านกราฟฟิคของภาพยนตร์เกี่ยวกับโลกแห่งเวทมนตร์ทั้งหมด

            ความยิ่งใหญ่ของการออกแบบบริเวณด้านนอกของกระทรวงเวทมนตร์เยอรมัน “ต่างจากกระทรวงต่างๆ ที่เราเคยเห็นมาก่อน” ลามอนต์กล่าว “ได้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจาก Chilehause ในแฮมเบิร์กที่สร้างขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 1920 รวมถึงสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิคของเยอรมันช่วงยุค 1930 และ 40 ตึกอาคารเป็นอิฐสีฟ้า-ดำ และมีรูปปั้นขนาดใหญ่บริเวณสนามเพื่อเป็นตัวแทนของตัวละครตามที่ได้รับความนิยมในวัฒนธรรมเยอรมัน”

            ความรับผิดชอบของทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์คือการขยายฉากจริงและกระทรวงอย่างไม่มีเงื่อนไข แมนซ์เล่าว่า “กระทรวงเวทมนตร์ประเทศเยอรมันเป็นฉากหนึ่งที่มีบริเวณด้านนอกสร้างความท้าทายมาก เพราะมันมีขนาดใหญ่ เวลาเรายืนอยู่ในฉากกระดาษแข็งเพื่อดูว่าเราจะถ่ายทำอย่างไร เรารู้สึกได้ทันทีเลยว่า ‘ว้าว มันใหญ่มากเลย!’” ถ้าให้นึกภาพออกคือหากจะสร้างตึกเดียขึ้นมา พวกเขาต้องสร้างตึกที่มีความสูง 90 ฟีตเลยล่ะ

สำหรับการช่วยให้พวกเขาเห็นภาพดิจิตอลขนาดใหญ่ที่มีการขยายแล้ว แมนซ์เล่าต่อว่า “เฟรมสโตร์จัดอุปกรณ์ที่ช่วยทำให้เราเห็นภาพก่อนการถ่ายทำเรียกว่าฟาร์ไซท์ นั่นหมายความว่าเราจะยืนตรงไหนก็ได้ในฉาก เพียงแค่ถือแท็บเล็ตเอาไว้ มันก็จะโชว์ฉากดิจิตอลให้เราเห็น นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับนักแสดง เดวิด ตากล้อง และแผนกศิลป์”

ฉากห้องเต้นรำของกระทรวงก็มีขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน และต้องใช้โรงถ่ายที่ใหญ่ที่สุดของ Leavesden แผนกศิลป์ตกแต่งผนังและพื้นด้วยหินอ่อนสีดำและขาว ส่วนเสาต่างๆ จะเป็นหินอ่อนสีแดง ผนังด้านบนเพดานจะมีใบไม้สีทองปกคลุม แผนกฉากที่ควบคุมโดยปิแอร์ โบฮานนาใช้แชงเดอเลียร์ที่สวยงามตกแต่งอีก 4 ชุด โดยแต่ละชุดใช้ไฟ 250 ดวง ภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ 2 ผืนตกแต่งที่ผนังห้อง บอกเล่าถึงตัวละครจากโลกแห่งเวทมนตร์และสร้างภาพแอนิเมชั่นโดยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์  

            แต่พายุไม่ได้รวมอยู่ในส่วนของอาร์ทเวิร์ค ในฉากการพยายามทำลายงานเลี้ยงของผู้ท้าชิงต้องอาศัยไม้กายสิทธิ์เสกกระแสลมขึ้นมา “”มันเป็นฉากที่สนุกแต่ก็ยากมาก” แมนซ์เล่ารายละเอียด “ข้าวของที่ใช้ตกแต่งฉากทุกชิ้นตั้งแต่แอสพารากัส ล็อบสเตอร์ เครื่องดินเผา แก้วน้ำ เครื่องเงินต่างๆ ต้องถูกสแกนเพื่อให้เราสร้างภาพดิจิตอลเหมือนมันอยู่กลางพายุได้”  

            ท้องถนนของเบอร์ลินสร้างขึ้นบนโรงถ่าย Leavesden ที่นั่นจะเป็นสถานที่เผชิญหน้ากันระหว่างดัมเบิลดอร์และครีเดนซ์ สำหรับการออกแบบท่าทางในฉากนั้น ผู้ร่วมควบคุมการแสดงผาดโผน โรว์ลีย์ เออร์แลม ได้เล่าว่าพวกเขาอยากสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์๘องแต่ละตัวละคร “ดัมเบิลดอร์ควบคุมได้มากกว่า ส่วนครีเดนซ์ดูยังอ่อนแอและเจ้าอารมณ์มากกว่า เราเลยต้องพยายามถ่ายทอดการแสดงนั้นออกมาให้ได้ มันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างสิ่งที่พวกเขาทำอยู่”

            เอซร่า มิลเลอร์ยืนยันว่า “การแข่งขันของพวกเขาดุเดือดมาก แต่ก็เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกเช่นกัน เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาท่าทางที่จะบอกเล่าเรื่องราวผ่านการปะทะกันระหว่างพวกเขาได้ มันเป็นเรื่องของพ่อมดสองคนที่คนหนึ่งได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มีพลังมาก ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ผ่านการฝึกฝนอะไรแต่เข้าถึงพลังที่มาจากออบส์คูรัสที่อยู่ในตัวเขาได้ นับเป็นความตื่นเต้นและความสนุกที่ผมได้เจอมาเลยครับ”

            “ผมพิถีพิถันเรื่องความสวยงามและพลังที่ไร้ขีดจำกัดของดัมเบิลดอร์ในการต่อสู้” ลอว์กล่าว “ทีมนักแสดงผาดโผนรับฟังคำแนะนำจากผมมาก ภาษากายจะถ่ายทอดสื่อถึงพลังของเขาได้อย่างไร และรวมถึงความสงบที่เป็นจุดเด่นของเขาด้วย บางคนที่มีอำนาจจะสงบเยือกเย็นภายใต้ความรุนแรง เพราะพวกเขาอาจต้องใช้กำลัง 80% เอซร่ากับผมสนุกกับการแสดงตรงนั้นมาก”  

            การประลองไม้กายสิทธิ์ของพวกเขาสร้างความเสียหายที่ผู้ไม่มีเวทมนตร์อาจไม่ทันสังเกตเห็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจที่แมนซ์อธิบายว่าดัมเบิลดอร์สามารถพลิกสภาพความเป็นจริงได้ “ดัมเบิลดอร์สร้างเมืองที่เป็นโลกเสมือนขึ้นมา ทุกอย่างถูกทำลาย กราฟฟิคทั้งหมดจะย้อนกลับหลังและไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย เมืองที่แสนวุ่นวายแห่งนี้กลายเป็นเมืองผีสิงทันที และเขาใช้ดีลูมิเนเตอร์สร้างความมืด มันจะต้องกันข้ามกับโลกแห่งความจริง แต่พวกเขายังต่อสู้กันได้และสร้างพังทลายทุกสิ่งโดยไม่ต้องกังวลอะไร”

            เบื้องล่างถนนสายต่างๆ ยังมีฉากแอ็คชั่นที่เกิดขึ้นในเรือนจำเอิร์กสแต็ก เชื่อกันว่าถูกปิดตัวลงแต่เปิดดำเนินการอยู่ชั้นใต้ดิน สิ่งที่ใช้อ้างอิงในการออกแบบคือเหมืองแร่เก่าแก่ที่เลิกใช้งานแล้ว ลามอนต์เลาว่า “มันมีเสาสี่เหลี่ยมที่เป็นหินรองรับน้ำหนักหลังคาที่มีความต่ำมาก สจ๊วตชอบฉากสไตล์นี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ และเราชอบที่มันดูคับแคบอึดอัด และมันจะพาเราไปสู่ทางเดินเรือนจำที่วนเป็นเกลียวขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นฉากที่มีหลายองค์ประกอบมาก”

            ทิม ลูอิสอธิบายเสริมว่า “เราสร้างเรือนจำนี้ขึ้นมาหลายส่วน เพราะมันยากที่จะสร้างให้มีขนาดใหญ่ตามที่อธิบาย แต่ผู้กำกับภาพฯ จอร์จ ริชมอนด์ ทำให้มันดูยิ่งใหญ่น่ากลัวขึ้นมากกว่าเดิม เพราะฉากนั้นจะถูกความมืดปกคลุม ฉะนั้นตัวละครต่างๆ จะต้องอาศัยแสงไฟช่วยตลอดเวลา”

            “ภาพโดยรวมจะเป็นโทนที่ดูอึมครึมและหินก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่าไม่อยากอยู่ที่นั่นเอาซะเลย” ลามอนต์กล่าวย้ำ

ในเทือกเขาใกล้กับออสเตรีย Nurmengard Castle เป็นทั้งบ้านและที่บังคับการของเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ ฉากภายนอกยังคงเก็บไว้จากภาคที่ 2 ไม่รวมสนามนอกด้านนอก ภายในห้องวาดภาพยังคงบรรยากาศเดิม แต่มีห้องของครีเดนซ์เพิ่มเข้ามา เยทส์อยากให้ห้องสะท้อนถึงความสับสนในตัวละคร บนผนังจึงและพื้นจึงมีพวกการเขียนระบาย ใบไม้ปลิวเข้ามาทางหน้าต่างที่แตก เพิ่มบรรยากาศความวุ่นวายมากขึ้น

สระน้ำห้องใต้ดินของปราสาทสร้างขึ้นด้วยเหล็กและมีไฟใต้น้ำซ่อนอยู่ สัญลักษณ์และตัวอักษรมากมายถูกสลักอยู่บนผนังรอบสระ น้ำและความชื้นที่นั่นเพิ่มความหนาวเย็นและความชื้นให้บรรยากาศห้องใต้ดิน

ภูฏาน

จุดสำคัญของ “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” เกิดขึ้นที่ราชอาณาจักรภูฏาน “ที่นั่นสร้างความรู้สึกหลายอย่างมาก” ลามอนต์กล่าว “มันเลยเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งเวทมนตร์นี้”

ผู้สร้างภาพยนตร์ไม่สามารถเดินทางไปยังภูฏานเพื่อเก็บภาพได้ แต่โชคดีที่มีข้อมูลใช้อ้างอิงมากพอ Chiba Institute of Technology แห่งประเทศญี่ปุ่นได้รับหน้าที่สำรวจและทำรายงานภายใต้ชื่อ Traditional Bhutanese Houses ซึ่งทีมค้นคว้าได้มอบข้อมูลให้แผนกศิลป์ ในรายงานมีข้อมูลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสำคัญและกลายเป็นข้อมูลล้ำค่าสำหรับการออกแบบหมู่บ้านบนเขาของชาวภูฏาน

เครกยึดมั่นทั้งเรื่องความสมจริงและการเน้นสีขาวของสถาปัตยกรรม การออกแบบจึงเน้นที่งานอิฐสีขาว ธงสีขาว และผ้าแขวนสีขาว ในส่วนฉากต่างๆ ถูกปรับเปลี่ยนหลายครั้งตามบรรยากาศท้องถนนและซอกซอยที่เหล่าฮีโร่ของเราพยายามหลบหนีจากผู้ติดตามของกรินเดลวัลด์ 

ป้อมปราการไอรี่เหนือหมู่บ้านต้องมีบันไดเข้าถึงที่ยาว ซึ่งนักแสดงและทีมงานต้องขอบคุณวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ช่วยยืดขยายบันได ทีมงานของเครกและลามอนต์ศึกษาสถาปัตยกรรมของวัดชาวภูฏาน ระหว่างรอการอนุญาตให้สร้างเมืองแห่งเวทมนตร์ในภูฏานขึ้นมา  

เดวิด เยทส์เล่าว่า “ภูฎานมีความมหัศจรรย์และสร้างความยิ่งใหญ่ในหนังช่วงท้ายของทริปที่เกิดขึ้นทั่วโลก… ผ่าน Leavesden ทั้งหมด” เขายิ้ม

เสื้อผ้า

            คอลลีน แอตวูดออกแบบเสื้อผ้าให้กับเรื่อง “Fantastic Beasts” ทุกภาค และเดวิด เยทส์เรียกเธอว่า “พลังจากธรรมชาติและความสุขในการร่วมงานด้วย คอลลีนเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่มีความสำคัญมาก เธอใช้โอกาสสร้างสรรค์โลกแห่งเวทมนตร์ที่เธอได้รับมา”

            แอตวูดอธิบายถึงการทำงานของเธอในภาคที่ 3 ว่า “ภารกิจสำคัญของฉันกับตัวละครเหล่านี้ คือการแสดงให้เห็นถึงการผจญภัยที่พวกเขาเคยเจอจากภาคก่อน ตอนนี้พวกเขากำลังออกเดินทางอีกแล้ว”

            เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนิวท์ออกจากป่า แอดวูดจึงเปลี่ยนแปลงลุคของเขาตามลำดับ “เขาสวมชุดแนวซาฟารี 3 ส่วนผสมกับชุดของนิวท์แบบที่เป็นผ้าลินินอย่างดี เราย้อมสีเข้มเพื่อให้ดูกลมกลืนกับบรรยากาศ เขายังคงติดโบว์ไทแต่เปิดช่วงคอมากขึ้น”

            เมื่อกลับมาสู่บรรยากาศที่เจริญ นิวท์จะสวมโค้ทที่ดูแล้วเหมือนกับโคทปกติของเขา “แต่มันดูสุภาพมากขึ้น” แอตวูดกล่าว “ฉันอยากให้ชุดของเขามีสีสว่างขึ้นหน่อยตัดกับบรรยากาศที่อึมครึมของเบอร์ลิน ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของภาพยนตร์”

เรดเมย์นเล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่มีความพิเศษในตัวคอลลีนคือเธอเข้าใจนักแสดง เธอรู้ว่ามันไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่ภายนอก แต่มันคือเครื่องแต่งกายทั้งหมด แม้ว่าสิ่งนั้นผู้ชมอาจมองไม่เห็นแต่สำคัญสำหรับเธอมาก เพราะเธอรู้ว่ามันสำคัญต่อเรา ทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ช่วยให้เราเข้าถึงตัวละครได้”

            แอดวูดกำหนดให้ดัมเบิลดอร์แต่งชุดแคชเมียร์ที่สั่งตัดมาอย่างพิถีพิถันและมีสีพิเศษ เธออธิบายว่า “เราให้เขาสวมชุดสีเทาอ่อนที่จะกลืนกับสีลาเวนเดอร์ที่เขาจะสวมตอนเป็นอาจารย์ใหญ่ในภายหลัง เราเพิ่มความสว่างเข้าไปในโค้ทให้เขานิดหน่อย จะได้ดูมีรายละเอียดและความสว่างมากขึ้น แทนที่จะเป็นแค่ผ้าเรียบๆ”

            ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้เลือกโทนสีที่ต่างออกไปสำหรับกรินเดลวัลด์ และจัดให้เขาสวมชุดที่ดูตัดเป็นพิเศษเหมาะกับความทะเยอทะยานของเขา “ชุดของเขาส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียวขี้ม้า ซึ่งดูแล้วมีความเป็นเยอรมันมาก เราจัดให้เขาสวมชุดโค้ทยาวที่ไม่ค่อยเหมือนกับพ่อมดคนไหน เพราะกรินเดลวัลด์อยู่ในช่วงชีวิตที่เครียด เขาอยากจะขึ้นเป็นผู้นำของโลก มีพลังยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่อยากแสดงออกให้เห็นผ่านเสื้อผ้าที่สีสันฉูดฉาด”

            แมดส์ มิคเคลสันสนุกกับเสื้อผ้าที่ช่วยสร้างตัวละครของเขาขึ้นมา “คอลลีนสมคำร่ำลือเลยครับ” เขากล่าว “ทุกอย่างตัดเย็บอย่างพิถีพิถันและสวยงามในแฟชั่นยุค 1930 ซึ่งเป็นช่วงที่มีความทันสมัยในประวัติศาสตร์ เรารู้สึกเท่มากตอนที่สวมเสื้อผ้าของตัวเอง”

            มิลเลอร์เองก็รักการร่วมงานกับแอดวูด และชื่นชอบในการเปลี่ยนแปลงชุดของครีเดนซ์ “ฉันตื่นเต้นมากค่ะกับการสวมบทบาทที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งเวทมนตร์อย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การพูดถึงในทางไม่ดี เพราะเรารู้ว่าในโลกของนิยายแฟนตาซี คนที่ไม่ดีมักจะมีสไตล์ที่ดูดีกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่เป็นเรื่องจริง นั่นหมายความว่าฉันจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ขั้นสูงของคอลลีน แอดวูด ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันปรารถนามาตลอด คอลลีนเป็นผู้ชำนาญ… มีพรสวรรค์และมีศิลปินที่เก่งๆ อีกหลายคนอยู่รอบตัว”

            “ครีเดนซ์มีพลังเวทมนตร์และอำนาจมากขึ้น” แอดวูดกล่าว “ฉันเลยอยากสะท้อนผ่านเสื้อผ้าของเขา เราเลือกสีชาร์โคลดำเข้มและสีแดง แต่ฉันเลือกใช้ผ้าไหมสีดำตรงขอบ และเพิ่มลวดลายของผ้าไหมบนไหล่ รวมถึงขอบเสื้อโค้ทของเขาให้เล่นกับแสงไฟ เสื้อกั๊กของเขาผลิตจากผ้าเคลือบเงาญี่ปุ่นที่ฉันเก็บไว้ประมาณ 20 ปี จนในที่สุดพบว่ามันได้ลุกขึ้นมามีชีวิตในหนังเรื่องนี้ มันเป็นผ้าที่มีความมหัศจรรย์ เพราะถึงแม้จะมืดมันก็สะท้อนแสงได้และมีสีรุ้ง”

            อีกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวกรินเดลวัลด์ ควีนนี่อาจเป็นคนที่ดูมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ผมลอนสีชมพูและเสื้อผ้าโทนสีพาสเทลของเธอถูกแทนที่ผมบลอนด์เงินและเสื้อผ้าโทนเข้ม แอดวูดยืนยันว่า “สีสันของควีนนี่ในเรื่องเป็นสีแดงหลากหลายเฉดสี ตั้งแต่สีแดงเข้มเลือดนกไปจนถึงสีแดงเชอร์รี่ ผสมกับสีเทาและสีชาร์โคล เสื้อโค้ทของเธอทอจากขนจามรีของจริง ซึ่งมีความพิเศษตรงที่มันเหมากับธรรมชาติทั่วโลกที่เกิดขึ้นในเรื่องราว”

            ขณะเดียวกันจาค็อบได้เล่าว่า “หากไม่มีควีนนี่คงดูเศร้า ในช่วงแรกเขาดูไร้จุดหมาย” แอดวูดอธิบาย “จากนั้นลาลลี่ได้ ‘เสก’ เขาให้มีตัวตนมากขึ้น ขณะเดียวกันเขายังเป็นคนมีความอ่อนน้อม เราเลยเลือกใช้วัสดุที่เหมาะกับการทำงานสำหรับชุดของเขา ซึ่งจะเป็นสีเอิร์ธโทนและเป็นโทนเย็น ฉันชอบสีที่ตัดกันระหว่างฟ้าและน้ำตาล และใส่ความโดดเด่นด้วยสีแดงอีกนิดหน่อย”

            แอดวูดออกแบบชุดของลาลลี่จากความชำนาญของตัวละคร “เธอเป็นผู้มอบการศึกษาและทำตัวเป็นผู้หญิงที่รอบรู้หลายเรื่อง ฉันเลือกสีแดงเลือดนกสำหรับลาลลี่เพราะมันเหมาะกับเธอ และมันช่วยเสริมความมั่นใจได้มากขึ้นด้วยค่ะ”

            หน้าที่ของธีซีอุสก็เป็นแรงจูงใจของแอตวูดสำหรับการออกแบบตัวละครของเขาเช่นกัน “ธีซีอุสเป็นตำรวจที่มีความซื่อสัตย์ในเรื่อง ผมเลยจับเขาใส่ชุดสีกรมเพราะชุดนั้นคือเครื่องแบบที่ดูสุภาพมากที่สุด”

            แอดวูดตกแต่งให้บันตี้อยู่ในชุดเอิร์ธโทน “เพราะฉันชอบที่ดธอดูติดดินค่ะ และเธอก็มีสปิริตที่น่าทึ่งด้วย เธอสวมเสื้อคลุมขนแกะตัวใหญ่ลายสก็อตที่เน้นประโยชน์การใช้สอยมากกว่า แต่ฉันให้เธอสวมเสื้อคลุมสั้นสีอ่อนเพื่อเน้นความเป็นผู้หญิงของเธอ” 

สำหรับคามา ผู้ออกแบบเล่าว่า “เราอยากให้เขาดูอู้ฟู่น้อยลงจากครั้งก่อน เหมือนเขาอยู่ในช่วงที่ลำบาก เน็คไทของเขาดูเหมือนเศษผ้าและเสื้อผ้าของเขาก็เหมือนชุดคนทำงาน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่แบบนั้น แต่เสื้อผ้าเขาสื่อออกมาแบบนั้น”

ริชาร์ด คอยล์เล่าว่าเขาเพิ่มบางอย่างเข้าไปในชุดของอาเบอร์ฟอร์ธ ซึ่งเป็นส่วนประกอบพิเศษชิ้นหนึ่ง “เราคิดว่ามันคงสนุกดีหากอาเบอร์ฟอร์ธดูเหมือนอัลบัสในเวอร์ชันที่ด้อยกว่า เขาอาจจะสวมชุดเก่าของอัลบัสก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกคอลลีนคือคงจะดีหากมีเข็มกลัดแพะ เพราะผู้พิทักษ์ของอาเบอร์ฟอร์ธคือแพะ แล้ววันต่อมามันก็มาอยู่บนชุดของผม”

            และเหมือนเช่นเคยที่ความรับผิดชอบของแอดวูดจะต้องดูแลมากกว่านักแสดง รวมถึงกลุ่มผู้คนที่มาอยู่ด้วยกันตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายในโลกเวทมนตร์ “เรามีคนที่มีเวทมนตร์จำนวนมาก ตั้งแต่อังกฤษไปจนถึงเยอรมันนีและปิดเรื่องราวที่ภูฏาน” เธอกล่าว “มันสนุกมากค่ะเพราะเราได้ผลิตชุดที่ได้แรงบันดาลใจจากชุดชาวภูฏานด้วย เราอยากให้เกียรติในสไตล์และวัฒนธรรมของภูฏาน รวมถึงทุกคนที่อยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์”

            ช่วงปิดกล้องการถ่ายทำ เดวิด เยทส์ได้ร่วมงานในขั้นตอนสุดท้ายของเรื่อง “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore” กับผู้ลำดับภาพ มาร์ค เดย์ ที่เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ มานานกว่า 20 ปี รวมถึงผู้ประพันธ์ดนตรีเจมส์ นิวตัน ฮาเวิร์ด ที่มาสร้างเสียงดนตรีเพื่อตอกย้ำการผจญภัยของตัวละครอีกครั้ง

            ผู้กำกับฯ กล่าวว่า “มันมีความน่าสนใจ ผมได้รับข้อความจากคนที่เล่าว่าช่วงที่พวกเขาล็อคดาวน์ พวกเขาเปิดหนังพวกนี้เพื่อช่วยสร้างความสบายใจ เพราะโลกแห่งเวทมนตร์เป็นที่ปลอดภัยสำหรับการออกเดินทางในช่วงที่ทุกอย่างดูจะรงกันข้าม และเราพบว่าหนังเหล่านี้วนเวียนอยู่ในชีวิตของผู้คน… มีหลายคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว และผมดีใจเพราะนั่นคือความต้องการของเราในฐานะผู้ถ่ายทอดเรื่องราว”

Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore

ประวัตินักแสดง

เอ็ดดี้ เรดเมย์น (นิวท์ สคามันเดอร์) นักแสดงเจ้าของรางวัลมากมาย ตอนนี้กำลังมีผลงานการแสดงที่นำมาสร้างใหม่ของ West End เรื่อง “Cabaret” คู่กับเจสซี่ บัคลีย์ ผลงานเรื่องนี้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ เรดเมย์รับบท ดิ เอ็มซี ที่ได้รับรางวัล WhatsOnStage Award สาขา Best Performer in a Male-Identifying Role in a Musical นอกจากนั้นยังเข้าชิงรางวัล Olivier Award สาขา Best Actor in a Musical จากการแสดงในเรื่อง “Cabaret” ที่ได้เข้าชิงรางวัล 11 รางวัลรวมสาขา Best Musical Revival โดยรางวัลจะมอบในวันที่ 10 เมษายน 2022

เรดเมย์นเริ่มรับบทนิวท์ สคามันเดอร์ ในเรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ต่อด้วย  “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ระหว่างผลงาน 2 เรื่องนี้ แฟรนไชส์กวาดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศไปมากกว่า 1.4 พันล้านเหรียญจนถึงปัจจุบัน

เขาเพิ่งปิดกล้องจากเรื่อง “The Good Nurse” นำแสดงคู่กับเจสสิก้า แชสเทน ภาพยนตร์สร้างอิงจากเรื่องจากและถ่ายทอดเรื่องราวของชาร์ลี คัลเล็น พยาบาลที่รับความสนใจในฐานะหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องแห่งประวัติศาสตร์ และตอนนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “นางฟ้าแห่งความตาย”

ล่าสุดเขาได้รับบท ทอม เฮย์เด็น ในผลงานแนวดราม่าเกี่ยวกับกฎหมายที่ได้รับรางวัลของอารอน ซอร์คิน “The Trial of the Chicago 7” จาก Netflix ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวกาสอบสวนกลุ่มจำเลยทั้ง 7 ที่วางแผนก่อการจลาจล โดยเกี่ยวข้องกับการประท้วง 1968 Democratic National Convention ที่ชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ นักแสดงได้เข้าชิงรางวัล  Critics’ Choice Award และได้รับรางวัล Screen Actors Guild (SAG) Award สาขา Outstanding Motion Picture Cast ภาพยนตร์ได้เข้าชิงรางวัลสาขา Best Motion Picture – Drama ในงาน Golden Globe Awards, Best Film ในงาน BAFTA Awards และ Best Picture ในงาน  Academy Awards

ก่อนเรื่องนั้นเรดเมย์นได้แสดงคู่กับเฟลิซิตี้ โจนส์ ในเรื่อง “The Aeronauts” ผลงานจาก Amazon Studios ในภาพยนตร์กำกับฯ โดยทอม ฮาร์เปอร์ เขียนบทฯ โดยแจ็ค โธร์น เรดเมย์นรับบท เจมส์ ไกลเชอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีความมุ่งมั่นร่วมมือกับแม่ม่ายผู้ร่ำรวย อมิเลีย เร็น ออกเดินทางโดยบอลลูนสูงกว่าที่ใครเคยทำมาก่อน เขายังให้เสียงพากย์ในแอนิเมชั่นผจญภัยคอมเมดี้ของ Aardman Studios เรื่อง “Early Man”

ในปี 2015 เขาแสดงในภาพยนตร์ของทอม ฮูเปอร์ “The Danish Girl” คู่กับอลิเซีย ไวแคนเดอร์ ภาพยนตร์สร้างจากเรื่องจากของจิตรกรชาวแดนิช ไอนาร์ วีจีเนอร์ และเกอร์ด้าภรรยาของเขา เรื่องราวเกี่ยวกับความหลงใหลและความรักที่ไม่ปกติในช่วงต้นยุคศตวรรษที่ 20 การแสดงของเรดเมย์นในเรื่องทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Academy Award, Golden Globe, SAG Award และ BAFTA Award สาขา Best Actor ทั้งหมด ในปีนั้นเรดเมย์นยังแสดงในภาพยนตร์ไซไฟผจญภัย “Jupiter Ascending” กำกับฯ โดยพี่น้องวาโชว์สกี้ นำแสดงโดยแชนนิ่ง ทาทัม และมิล่า คูนิส

เรดเมย์นเป็นที่รู้จักจากการรับบทนักฟิสิกส์ชื่อดัง สตีเฟ่น ฮอว์คิง ในผลงานปี 2014 เรื่อง “The Theory of Everything” กำกับฯ โดยเจมส์ มาร์ช นำแสดงโดยเฟลิซิตี้ โจนส์, เอมิลี่ วัตสัน และเดวิส ธิวลิส ภาพยนตร์เขียนบทโดนแอนโธนี แม็คคาร์เท็น สร้างอิงจากบันทึกของเจน ฮอว์คิง Travelling to Infinity: My life with Stephen ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักระหว่างนักศึกษาดาราศาสตร์จาก  Cambridge และเจน ไวลด์ นักศึกษาศิลปะที่เขาตกหลุมรักช่วงยุค 60 การแสดงนั้นทำให้เขาได้รับรางวัล Oscar สาขา Outstanding Actor in a Leading Role, Golden Globe สาขา Best Actor, SAG Award สาขา Outstanding Male Actor in a Leading Role และ BAFTA Award สาขา Best Actor

ในปี 2012 เรดเมย์นแสดงในมิวสิเคิลที่ได้รับรางวัลมากมาย “Les Misérables” ที่ได้เข้าชิงรางวัล Academy Award สาขา Best Motion Picture of The Year และได้รับรางวัล Golden Globe สาขา  Best Motion Picture in a Musical or Comedy เขาแสดงคู่กับแอน แฮทธะเวย์, ฮิวจ์ แจ็คแมน, รัสเซล โครว์ และ อแมนด้า ไซย์ฟรีดในเรื่อง กำกับฯ โดยทอม ฮูเปอร์ เรดเมย์นได้รับรางวัล Virtuoso Award ในงาน Santa Barbara International Film Festival จากการรับบทมาเรียส พอนต์เมอร์ซี่ และเข้าชิงรางวัล Evening Standard Film Award สาขา Best Actor และ BAFTA Award สาขา Rising Star เขายังร่วมเข้าชิงรางวัล SAG Award ร่วมกับทีมนักแสดงและเข้าชิงรางวัลอีกมากมาย

ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึงผลงานอินดี้ “The Yellow Handkerchief” ที่ร่วมงานกับคริสเทน สจ๊วต และ วิลเลียม เฮิร์ท และผลงานของทอม คาลิน “Savage Grace” ที่แสดงคู่กับจูเลียน มัวร์ เรดเมย์นแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกปี 2006 ในภาพยนตร์แนวดราม่าระทึกขวัญของโรเบิร์ต เดอ นีโร  “The Good Shepherd” รับบทลูกชายของแม็ตต์ เดมอน และ แองเจลิน่า โจลี่ ในปี 2007/8 เขารับบทแสดงสมทบในเรื่อง “Elizabeth: The Golden Age” กำกับฯ โดยเชคาร์ คาเพอร์ นำแสดงโดยเคท บลันเช็ตต์, เจฟฟรีย์ รัช และ คลีฟ โอเวน และ “The Other Boleyn Girl” ที่ร่วมงานกับนาตาลี พอร์ทแมน และ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน 

ผลงานอีกมากมายของเรดเมย์นยังรวมถึงการทำงานร่วมกับทีวีอังกฤษ ปี 2012 เขาแสดงในเรื่อง  “Birdsong” ร่วมกับเคลเมนซ์ โพซี่ ซีรีส์ความยาว 2 ตอนของทาง BBC1 เป็นผลงานดัดแปลงจากเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของเซบาสเตียน ฟอล์คสช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 2011 เอ็ดดี้แสดงในผลงานเข้าชิงรางวัล Golden Globe- และ Emmy-เรื่อง “The Pillars of the Earth” มินิซีรีส์ดัดแปลงจากนิยายขายดีของเค็น โฟลเล็ตต์ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยริดลีย์ สก็อตต์ เรดเมย์นแสดงนำคู่กับแมทธิว แม็คฟาเดียน, เฮย์ลีย์ แอ็ตเวลล์ และ รูฟัส ซีเวล ผลงานทางทีวีเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ การรับบทนำ แองเจิล แคลร์ คู่กับเจ็มม่า อารเทอร์ตัน ในผลงานดัดแปลงเรื่องดังทาง BBC เรื่อง  “Tess of the D’Urbervilles”

ในปี 2010 เขาได้รับรางวัล Tony และ Laurence Olivier Awards จากการแสดงในผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ของไมเคิล แกรนเดจ “Red” ที่แปลงจากผลงานของ Donmar Warehouse สู่ละครบรอดเวย์ Golden Theatre เรดเมย์รับบทคู่กับอัลเฟรด โมลิน่า เขาได้รับคำชมจากการแสดง West End ในผลงานแนวดราม่าของเอ็ดเวิร์ด อัลบี “The Goat or Who is Sylvia” ที่เขารับบทวัยรุ่นมีปัญหาคู่กับโจนาธาน ไพรซ์ การแสดงนั้นทำให้เขาได้รับรางวัล 2004 London Evening Standard Award และ 2005 London Critics Circle Theatre Award สาขา  Outstanding Newcomer เขายังเข้าชิงรางวัล 2005 Olivier Awards สาขา  Best Performance in a Supporting Role หลังจากนั้นเขาแสดงละครเวทีในผลงานเรื่องใหม่ของคริสโตเฟอร์ ชินน์ “Now or Later” ที่ Royal Court Theatre เรดเมย์นยังแสดงนำในผลงานของเช็คสเปียร์ “Richard II” ที่เปิดตัวใน Donmar Warehouse ที่ลอนดอน และเขาได้รับรางวัล Critics Circle Theatre Award

จู้ด ลอว์ (อัลบัส ดัมเบิลดอร์)

จู้ด ลอว์ (อัลบัส ดัมเบิลดอร์) เจ้าของรางวัล BAFTA และผู้เข้าของรางวัล Oscar, Tony และ   Olivier Award-เขาร่วมงานกับผู้กำกับฯ นักเขียน และผู้มีความสามารถชื่อดังในยุคเรามาแล้วหลายคน เส้นทางการทำงานของเขายาวนานถึง 30 ปีผ่านการแสดงที่น่าประทับใจ ลอว์มีความชอบและความสนใจทั้งการทำงานละครเวทีและภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นผลงานอิสระหรือผลงานค่ายดัง นอกจากนั้นยังร่วมงานกับ Riff Raff Entertainment Ltd. ที่ลอว์พัฒนาตัวเองขึ้นเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ และพัฒนาสื่อให้กับผู้ต้องการผลงานบันเทิง โดยสร้างความท้าทายและความแปลกใหม่ของการถ่ายทอดเรื่องราว

            ล่าสุดลอว์ได้รับคำชมและเข้าชิงรางวัล Gotham Award nomination สาขา Best Actor จากภาพยนตร์ของฌอน เดอร์คิน “The Nest” (2020) นำแสดงร่วมกับแคร์รี่ คูน และผลงานทาง HBO ที่ลอว์ได้รับคำชมจากการแสดงในผลงานแนวดราม่าความยาว 6 ตอน “The Third Day” (2020) ผลิตโดยผู้เขียนบทฯ เด็นนิส เคลลี่ และ ฟีลิกซ์ บาร์เร็ตต์

            ลอว์ได้ร่วมงานช่วงแรกกับแอนโธนี มิงเฮลล่าที่ล่วงลับไปแล้วและซิดนีย์ พอลแล็ค ลอว์รับบทดิคกี้ กรีนลีฟในภาพยนตร์แนวระทึกขวัญโรคจิตของมิงเฮลล่า “The Talented Mr. Ripley” (1999) ผลงานการแสดงที่โดดเด่นจนได้เข้าชิงรางวัล Golden Globe และ Academy Award และได้รับรางวัล BAFTA Award สาขา Best Actor in a Supporting Role มิงเฮลล่าคัดเลือกลอว์ให้มาแสดงหนังสงครามปี 2003 เรื่อง “Cold Mountain” ที่ลอว์ได้เข้าชิงรางวัล Academy Award, Golden Globe และ BAFTA Award สาขา Best Actor และอีกครั้งในเรื่อง “Breaking and Entering” (2006) ลอว์ร่วมแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องที่กำกับฯ โดยมาร์ติน สกอร์เซซี่ “The Aviator” (2004) และ “Hugo” (2011) และผลงานของสตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก “Contagion” (2011) และ “Side Effects” (2013)

            ภาพยนตร์ที่ลอว์ร่วมแสดงได้กวาดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศไปหลายพันล้านเหรียญ เขาทุ่มเทการแสดงไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็กต์เล็กหรือใหญ่ ลอว์ได้เข้าชิงรางวัล Golden Globe สำหรับการแสดงนำในผลงานดราม่าไซไฟของสตีเวน สปีลเบิร์ก “A.I. Artificial Intelligence” (2001) และได้ร่วมรับรางวัลในผลงานของเวส แอนเดอร์สัน “The Grand Budapest Hotel” (2014) ผลงานของแอนเดอร์สันที่กวาดรายได้สูงสุดจนถึงปัจจุบัน ลอว์รับบทอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ผลงานตอนที่ 2 ของแฟรนไชส์ในโลกเวทมนตร์ที่สร้างโดยเจ.เค. โรว์ลิ่ง กวาดรายได้ไปแล้วมากกว่า 650 ล้านเหรียญ ลอว์ยังรับบท ดร.วัตสัน คู่กับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในผลงานของกาย ริตชี่ เรื่อง “Sherlock Holmes” ทั้งสองเรื่องกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 500 ล้านเหรียญ และทำให้ลอว์กลายเป็นนักแสดงที่มีอิทธิพลในภาพยนตร์ระดับโลก

            ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของลอว์ ได้แก่ ผลงานของแอนดรูว์ นิคโคล “Gattaca” (1997);  ผลงานของคลินท์ อีสต์วูด “Midnight in the Garden of Good and Evil” (1997); ผลงานของเดวิด โครเนนเบิร์ก “Existenz” (1999); ผลงานของแซม เม็นเดส “Road to Perdition” (2001); ผลงานของฌอง-ฌัค แอนโนด์ “Enemy at the Gates” (2001); ผลงานของไมค์ นิโคลส์ “Closer” (2004); ผลงานของชาร์ลส ไชเยอร์ “Alfie” (2004); ผลงานของเคอร์รี่ คอนแรน “Sky Captain and World of Tomorrow” (2004) ที่ลอว์อำนวยการสร้างผ่านผลงานของริฟ แรฟ เดวิด โอ รัสเซล “I Heart Huckabees” (2004); ผลงานของสตีเวน เซลเลียน “All the King’s Men” (2006); ผลงานของแนนซี่ เมเยอร์ส “The Holiday” (2006); ผลงานของเคนเนธ บรานอห์ “Sleuth” (2007) ที่ลอว์ผลิตผ่าน Riff Raff; ผลงานของหว่อง การ์-ไว “My Blueberry Nights” (2007); ผลงานของโจ ไรท์ “Anna Karenina” (2012);  ผลงานของเควิน แม็คโดนัลด์ “Black Sea” (2014); ผลงานของพอล ฟีก “Spy” (2015);  ผลงานของมิคาเอล แกรนเดจ “Genius” (2016);  ผลงานของบราดี้ คอร์เบ็ตต์ “Vox Lux” (2018);  ผลงานของแอนนา โบว์เดน และ ไรอัน เฟล็ค “Captain Marvel” (2019) และผลงานของรี้ด โมราโน “The Rhythm Section” (2020)

            ในฐานะผู้อำนวยการสร้างฯ บริษัท Riff Raff Entertainment ของลอว์มีสัญญาในการเห็นบทการถ่ายทำเป็นรายแรกร่วมกับ New Republic Pictures ของไบรอัน โอลิเวอร์ และล่าสุดเพิ่งปิดกล้องเรื่อง “True Things” ที่ดัดแปลงจากหนังสือของเดโบราห์ เคย์ ดาวีส์ True Things About Me เลือกโดยเบ็น แจ็คสัน ลอว์ และ Riff Raff และผลิตโดยรัธ วิลสัน The Bureau, BFI & BBC Films และกำกับฯ โดยแฮร์รี่ วูทลิฟฟ์ นำแสดงโดยวิลสันและทอม บรูค Picturehouse Entertainment ได้สิทธิ์ภาพยนตร์และฉายอีกครั้งในปี 2021 ที่สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ Riff Raff มีซีรีส์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่อยู่ในขั้นการพัฒนา

            ในปี 2016 ลอว์มีผลงานพรีเมียมทางทีวีครั้งแรก โดยรับบท เล็นนี่ บีลาร์โด อาร์บิชอพแห่งนิวยอร์คในซีรีส์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ของเปาโล ซอร์เรนติโน่ ทาง HBO เรื่อง “The Young Pope” สำหรับการแสดงนั้นเขาได้เข้าชิงรางวัล Golden Globe สาขา Best Performance by an Actor in a Limited Series และได้รับรางวัล Pondazione Mimmo Rotella Award ในงาน Venice Film Festival ปี 2020 ลอว์กลับมาร่วมทีมกับวอร์เรนติโน่เพื่อรับบทที่ต่อเนื่องกันอย่าง โป๊ปปิอุสที่ 13 ในเรื่อง “The New Pope” ลอว์อนำวยการสร้างบริหารฯ และแสดงคู่กับจอห์น มัลโควิช

            ในโลกภาพยนตร์ลอว์ก็ได้รับการยกย่องไม่แพ้กัน ปี 2010 เขามีผลงานที่โดดเด่นในเรื่อง Harriet ลอว์ได้รับรางวัล Critics’ Circle Theatre Awardสาขา Best Shakespearean Performance รวมถึงรางวัล South Bank Show Award และ Falstaff Award สาขา  Best Leading Actor ในปี 2009 ลอว์ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมจากการรับบทนำในเรื่อง “Hamlet” ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล Tony Award สาขา Best Performance by a Leading Actor in a Play เข้าชิงรางวัล Drama Desk Award สาขา Best Performance เข้าชิงรางวัล Drama League Award สาขา “Best Performance” ได้ชิงรางวัล Outer Critic’s Circle สาขา Best Leading Actor และเข้าชิงรางวัล Laurence Olivier Awardสาขา Best Leading Actor in a Play ในปี 1995 ลอว์ได้รับรางวัล Theater World Award จากการแสดงในเรื่อง “Indiscretions” ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล Tony Award nomination สาขา Best Featured Actor in a Play ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงเรื่อง “Obsession” (2017), “Henry V” (2013) เข้าชิงรางวัล Laurence Olivier Award “Anna Christie” (2012), “Dr. Faustus” (2002), “Tis Pity She’s a Whore” (1999) ผลงานที่ได้รับรางวัล Ian Charleson Award ลำดับที่ 3 เรื่อง “Ion” (1994) และ “Les Parents Terribles” (1994)

            เร็วๆ นี้ลอว์จะแสดงในผลงานฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 เรื่อง “Peter Pan & Wendy” จากผู้กำกับฯ เดวิด โลเวอรี่ เขารับบทกัปตันฮุก ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงการถ่ายทำ “Firebrand” ที่เขาร่วมแสดงกับอลิเซีย ไวแคนเดอร์ กำกับฯ โดยคาริม ไอนา อำนวยการสร้างฯ โดยแกเบรียล ทานา

แมดส์ มิคเคลเซน (กรินเดลวัลด์) เข้าชิงรางวัล BAFTA Award และ European Film Award จากเรื่อง  “Another Round” (2020) ที่เขากลับมารับบทแสดงในภาพยนตร์เดนมาร์ก นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เขาอยู่ในโลกภาพยนตร์ของวินเทอร์เบิร์ก หลังจากการแสดงนำในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล “The Hunt” (2013) ที่เขาได้รับรางวัล Best Actor จากงาน  Cannes Film Festival เขายังแสดงในผลงานของแอนเดอร์ส โธมัส เจนเซน “Riders of Justice”(2020) อีกด้วย

ผลงานอื่นที่เดนมาร์กบ้านเกิดของเขายังรวมถึงการรับบทแสดงนำในภาพยนตร์ที่หลากหลาย เร็วๆ นี้เขาจะแสดงในภาพยนตร์ “Indiana Jones 5” ที่ยังไม่มีชื่อ และร่วมแสดงในเรื่อง “Arctic” (2019), “Polar” (2019), “Doctor Strange” (2016), “Rogue One: A Star Wars Story” (2016), “Casino Royale” (2006), “King Arthur” (2004) รวมถึงรับบทนำในทีวีซีรีส์เรื่องดัง “Hannibal” (2013-2015) ในปี 2011 เขาได้รับรางวัล European Film Award จากการสนับสนุนในโลกภาพยนตร์และมีส่วนร่วมในคณะกรรมการตัดสินงาน 2016 Cannes

มิคเคลเซนมีบทบาทที่โดดเด่นในภาพยนตร์เดนมาร์กอีกหลายเรื่อง เช่น “Men and Chicken” (2015) ผลงานยอดนิยมทั่วโลกและได้เข้าชิงรางวัล Oscar “A Royal Affair” (2012) และผลงานของซูซาน ไบเออร์ “After the Wedding” (2006) ที่ได้เข้าชิงรางวัล Academy Award เขายังร่วมแสดงในผลงานโมเดิร์นคลาสสิคอีกหลายเรื่องของแอนเดอร์ส โธมัส เจนเซน เช่น “Adam’s Apples” (2005), “The Green Butchers” (2003) และ “Flickering Lights” (2000) นอกจากภาพยนตร์แล้วเขายังแสดงในซีรีส์ที่ได้รับรางวัล Emmy Award “The Unit” (2000-2004)

มิคเคลเซนผ่านการฝึกฝนการแสดงที่ Aarhus Theater’s Drama School จบการศึกษาเมื่อปี 1996 และได้รับการพัฒนาในภาพยนตร์เรื่องแรกของนิโคลาส วิดดิ้ง เรฟ “Pusher” (1996) พวกเขาร่วมงานกันต่อในเรื่อง “Bleeder” (1999), “Pusher II” (2004) และ “Valhalla Rising” (2009)

เอซร่า มิลเลอร์ (ครีเดนซ์) นักแสดงคนต่อไปในบท แบร์รี่ อัลเล็น หรือเดอะ แฟลช ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ของ DC เรื่อง “The Flash” กำกับฯ โดยแอนดี้ มุสเชียรตติ กำหนดฉายเดือนพฤศจิกายน 2022 มิลเลอร์รับบทเดอะ แฟลชครั้งแรกในผลงานของแซ็ค สไนเดอร์ “Batman v Superman: Dawn of Justice” ต่อด้วยการแสดงที่น่าจดจำในผลงานของเดวิด เอเยอร์ “Suicide Squad” จากนั้นร่วมทีมกับนักแสดงในภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัย “Justice League” คู่กับเบ็น เอ็ฟเฟล็ค, กัล กาโดต์, เฮนรี่ คาวิลล์, เรย์ ฟิชเชอร์ และ เจสัน โมมัว

ในปี 2016 มิลเลอร์รับบทครีเดนซ์ในภาพยนตร์ของเดวิด เยทส์ “Fantastic Beasts and Where to Find Them” และกลับมารับบทเดิมในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ปีก่อนหน้านั้นมิลเลอร์ร่วมแสดงกับเอมี่ ชูเมอร์ในภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดนิยมของจัดด์ อพาทาว “Trainwreck” และร่วมแสดงในภาพยนตร์อินดี้ที่มีการพูดถึงมาก “The Stanford Prison Experiment” ได้รับคำชมจากการฉายครั้งแรกที่งาน 2015 Sundance Film Festival

มิลเลอร์มีผลงานแรกที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ผลงานแนวดราม่าเกี่ยวกับการเตรียมไปโรงเรียน “Afterschool” ฉายครั้งแรกในงาน 2008 Cannes Film Festival และฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์อีกมากมาย ภาพยนตร์ได้รับรางวัลรวมถึงเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award

ในปี 2011 เขาได้ถ่ายทอดการแสดงที่โดดเด่นในผลงานแนวดราม่า “We Need to Talk About Kevin” นำแสดงร่วมกับทิลด้า สวินตัน และ จอห์น ซี. เรลลี่ ภายใต้การกำกับฯ ของลินนี่ แรมซี่ ฉายครั้งแรกในงาน Cannes Film Festival ที่เข้าชิงรางวัล Palme d’Or การแสดงนั้นได้เข้าชิงรางวัล British Independent Film Award สาขา Best Supporting Actor และเข้าชิงรางวัล Critics’ Choice Award สาขา Best Young Actor มิลเลอร์ยังร่วมแสดงกับเอลเล็น บาร์กิน, เอลเล็น เบอร์สติน, เคท บอสเวิร์ธ, เดมี่ มัวร์ และ มาร์ติน แลนดาวในผลงานของแซม เลวินสัน “Another Happy Day” ฉายครั้งแรกในงาน 2011 Sundance Film Festival

หลังจากสองเรื่องนั้นเขาได้รับรางวัล Chopard Trophy for Male Revelation ในงาน 2012 Cannes Film Festival หนึ่งในรางวัลที่มีคนอยากได้มากที่สุดในเทศกาล Chopard Trophy ยกย่องผู้มีพรสวรรค์อย่างน่าตื่นเต้นที่สุดแห่งปี

ต่อมาปี 2012 มิลเลอร์แสดงร่วมกับเอ็มม่า วัตสัน ในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง “The Perks of Being a Wallflower” ได้รับรางวัล Chlotrudis and Boston Film Critics Awards สาขา Best Supporting Actor และเข้าชิงรางวัล MTV Movie Award สาขา Breakthrough Performance

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงรวมถึงผลงานอินดี้ “City Island” ที่ร่วมงานกับแอนดี้ การ์เซีย และ จูเลียนนา มาร์กูเลียส ; “Every Day” ร่วมกับลีฟ ชเรเบอร์, เฮเล็น ฮันต์, คาร์ลา กูกิโน, ไบรอัน เด็นนีไฮ และ เอ็ดดี้ อิซซาร์ด; ผลงานกำกับฯ แรกของไบรอัน โกลูบอฟ  “Beware the Gonzo” และ “Madame Bovary” ที่ร่วมงานกับมีอา วาซิคาวสกา และ พดอล จิอาแม็ตติ

นอกจากนั้นเขายังเป็นนักดนตรีที่สร้างความหลงใหล และออกทัวร์ร่วมกับวง Sons of an Illustrious Father ในช่วงที่ไม่มีการแสดง

แดน ฟอกเลอร์ (จาค็อบ โควัลสกี้) นักแสดงเจ้าของรางวัล Tony Award ที่สร้างผลงานจากละครเวทีสู่ภาพยนตร์และผลงานทางทีวี

เขากำลังจะแสดงบท ฟรานซิส ฟอร์ด คอพโพลา ในเรื่อง  “The Offer” มินิซีรีส์เกี่ยวกับการสร้างผลงานคลาสสิค “The Godfather” ฉายครั้งแรกทาง Paramount+ วันที่  28 เมษายนน 2022 ฟอกเลอร์รับบทจาค็อบ โควัลสกี้ครั้งแรกในเรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” และกลับมารับบทในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald”

            นอกจากนั้นเขายังแสดงในผลงานอินดี้เกี่ยวกับประวัติชีวิต “Spinning Gold”; “Love Happens” คู่กับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน และ อารอน แอคฮาร์ต และผลงานของอั้ง ลี่ “Taking Woodstock” ร่วมกับลีฟ ชเรเบอร์ และ เอมิลี่ เฮิร์ช เขายังแสดงนำในเรื่อง “Take Me Home Tonight” คู่กับโทเฟอร์ เกรซ, คริส แพร็ตต์ และแอนนา ฟาริส และ “Balls of Fury” ร่วมกับคริสโตเฟอร์ วัลเค็น ฟอกเลอร์ได้รับความสนใจจากการแสดงคู่กับจอช ดูฮาเมล ในเรื่อง “Scenic Route” ฉายครั้งแรกในงาน 2013 SXSW Film Festival ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “Barely Lethal” คู่กับซามูเอล แอล แจ็คสัน. และ “Good Luck Chuck” ร่วมกับเดน คุก และ เจสสิก้า อัลบ้า

            สำหรับผลงานทางทีวี ฟอกเลอร์แสดงคู่กับไรอัน ฟิลลิป และ จูเลียต ลูอิส ในผลงานแนวดราม่าทาง ABC เรื่อง  “Secrets and Lies” และแสดงนำในผลงานซิตคอม ABC  เรื่อง “Man Up!”  ฟอกเลอร์ยังร่วมแสดงซีรีส์ยอดนิยมทาง  AMC เรื่อง “The Walking Dead” ซีซั่น 9 และกลับมารับบทนักแสดงรับเชิญในซีรีส์ยอดนิยมทาง ABC เรื่อง “The Goldbergs” เขายังเป็นแขกรับเชิญในซีรีส์ “The Good Wife” อีกด้วย “Hannibal”

            สำหรับผลงานแอนิเมชั่น เขาเคยให้เสียงพากย์ “Kung Fu Panda” คู่กับแจ็ค แบล็ค และ แจ็คกี้ ชาน และ “Horton Hears a Who” ร่วมกับสตีฟ คาเรล และ จิม แคร์รีย์ เขาแสดงคู่กับเซธ กรีน ในผลงานแอนิเมชั่นของโรเบิร์ต เซเมคคิส “Mars Needs Moms” และให้เสียงพากย์ “The Guardian Brothers” คู่กับเมริล สตรีพ และเซนดายา

ฟอกเลอร์กำกับฯ ครั้งแรกในเรื่อง “Hysterical Psycho” ที่ฉายครั้งแรกในงาน 2009 Tribeca Film Festival ผลงานเรื่องที่สองในฐานะผู้กำกับฯ “Don Peyote” ฟอกเลอร์รวมกลุ่มนักแสดงอย่างโทเฟอร์ เกรซ, แอน แฮทธะเวย์ และ เจย์ บารูเชล

ฟอกเลอร์เริ่มแสดงบรอดเวย์ในผลงานกำกับฯ ของเจมส์ ลาไพน์ “The 25th Annual Putnam County Spelling Bee” เขาได้รับรางวัล Tony Award ปี 2005 การแสดงมิวสิเคิลทำให้เขาได้รับรางวัล Outer Critics Circle Award, Lucille Lortel Award และ Theatre World Award; New York Magazine Culture Award สาขา Best Breakthrough Performance และ Drama Desk Award สาขา Best Ensemble ร่วมกับเหล่านักแสดง เขากลับมารับบทนั้นในปี 2007 สำหรับการแสดงที่ West Coast

            ฟอกเลอร์กลับสู่เวทีนิวยอร์คช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2006 ในผลงานของแดน โอเบรียน “The Voyage of the Carcass” กำกับฯ โดยแรนดี้ บารูห์ เขาเคยแสดง off-Broadway และผลงานท้องถิ่นอีกหลายเรื่องอย่าง “Bobby Gould in Hell,” “Joe Fearless,” “Crepuscule,” “Bridges and Harmonies,” “White Devil” และ “Dilettantes & Debutantes” ฟอกเลอร์กำกับการแสดงละครเวทีครั้งแรกในเรื่องที่เขาเขียนบทด้วย “Elephant in the Room” ได้แรงบันดาลใจจากโลเนสโก “Rhinoceros” ฉายครั้งแรกในงาน 2007 Fringe Festival ที่ NYC

ปี 2020 เขาปล่อยผลงานนิยายภาพ 3 เรื่องร่วมกับหนังสือการ์ตูน Heavy Metal: Fishkill, Brooklyn Gladiator และ Moon Lake ตอนนี้กำลังดัดแปลงเป็นซีรีส์แอนิเมชั่นทางทีวี ปี 2016 เขาเริ่มทำพอดแคสต์ “Dan Fogler’s 4D Experience” ที่แขกจะมาเริ่มพูดคุยเรื่องหนังล่าสุดที่ได้ดู… ใน 4 มิติ

อลิสัน ซูโดล (ควีนนี่ โกลด์สตีน) ศิลปินตัวจริงที่ตรงตามตัว เธอเป็นนักแสดงและนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ รับบทควีนนี่ครั้งแรกในเรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ฉายเมื่อปี 2016 และกวาดรายได้ไปมากกว่า 814 ล้านเหรียญ กลับมารับบทเดิมในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ เดวิด เยทส์และเพื่อนนักแสดงอีกครั้ง รวมถึงเอ็ดดี้ เรดเมย์น, แดน ฟอกเลอร์ และ เอซร่า มิลเลอร์ ภาพยนตร์เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2018

ล่าสุดเธอแสดงคู่กับเจเรมี่ เออร์ไวน์, ซามูเอล แอล. แจ็คสัน, เอ็ด แฮร์ริส และ แบรดลีย์ วิตฟอร์ด ในเรื่อง “The Last Full Measure” เขียนบทฯ และกำกับฯ โดยทอดด์ โรบินสัน ฉายเมื่อปี 2020 ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของแอร์แมน “พิตส์” พิตเซนบาร์เกอร์ (เออร์ไวน์) ที่ได้รับรางวัล Medal of Honor หลังจากการเสียชีวิตในเวียตนาม 34 ปีให้หลั

เธอมีการแสดงที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ครั้งแรกจากซีรีส์ที่ได้รับรางวัล Golden Globe เรื่อง  “Transparent” ผลิตโดยจิล โซโลเวย์ เธอกลับมารับบท คายา ศิลปินและคนรักของจอชที่รับบทโดยเจย์ ดูพลาส ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียยังรวมซีรีส์ทิม คริง และ ไกเดียน ราฟฟ์ “Dig” ทาง TNT ซีรีส์ความยาว 10 ตอนเกี่ยวกับสายลับเอฟบีไอและทีมของเขาที่ต้องเปิดโปงการวางแผน 2000 ปี

            ก่อนการแสดงเธอโลดแล่นบนเส้นทางดนตรีภายใต้ชื่อของตัวเอง A Fine Frenzy มีผลงานแรกเมื่อปี 2007 ด้วยอัลบั้ม One Cell in the Sea ซิงเกิลแรก “Almost Lover” ขึ้นไปสู่อันดับ 25 บนชาร์ท Billboard’s Hot Adult Contemporary Tracks อัลบั้มขึ้นเป็นอันดับ 1 บน Billboard’s “Heatseeker” และ A Fine Frenzy ได้รับเลือกให้เป็นผลงานศิลปิน VH1 “You Oughta Know” โดย One Cell in the Sea กวาดรายได้ทั่วโลกมากกว่า 300,000 กอปปี้ ในปี 2008 อัลบั้มจำหน่ายที่เยอรมันนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ และโปแลนด์ ติดอันดับ 30 ทุกประเทศ  “Almost Lover” ขึ้นเป็นอันดับ 8 ที่เยอรมันนี ขึ้นเป็นอันดับ 10 บน Swiss Charts และอันดับ 5 ที่ออสเตรีย

            ซูโดลได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มออกมา 3 อัลบั้ม มีอัลบั้มหนึ่งที่แสดงสดและ EPs อีก 4 อัลบั้มในชื่อ A Fine Frenzy มีการแสดงในซาวด์แทรคภาพยนตร์หลายเรื่อง ตอนนี้กำลังสนใจดนตรีที่แตกต่างอีกหลายด้าน รวมถึงการประพันธ์ดนตรี การเล่น และการแต่งเพลง วันที่ 2 พฤศจิกายน 2018 ซูโดลปล่อยผลงานอินดี้ดนตรีใหม่ภายใต้ชื่อของเธอเอง Moon EP ซึ่งเป็นผลงานแรกที่ปล่อยในช่วง 6 ปี The Moon EP มีการปล่อยผ่าน Hearth ค่ายดนตรีที่ก่อตั้งโดยซูโดลและผู้จัดการที่ร่วมงานกันมาอย่างยาวนาน เอเดรียน บุตเชอร์ เพื่อเป็นช่องทางปล่อยดนตรีให้กับศิลปินที่ได้รับการสนับสนุน ซึ่งเป็นผลงานต่อจาก EP ต่อไป Moonlite ของเธอ ทั้งสอง Eps ร่วมโปรดิวซ์กับอาลี แชนต์ (Perfume Genius, PJ Harvey) และคลีฟ ดีเมอร์ และ เอเดรียน อุตลีย์ (Portishead) และจอห์น พาริช (PJ Harvey) ตอนนี้ซูโดลกลำลังทำงานในอัลบั้มเต็มชุดใหม่ที่จะประกาศรายละเอียดเร็วๆ นี้

นอกจากนั้นเขายังให้ความสนใจเรื่องสภพาแวดล้อม ทั้งการป้องกันความสูญเสียและการอนุรักษ์ ซูโดลเป็นตัวแทนของ International Union for Conversation of Nature (IUCN) ในปี 2018 ซูโดลได้เป็นตัวแทนคนแรกของกรีนพีซแอนตาร์คติค

วิลเลียม นาดีแลม (ยูซุฟ คามา) นักแสดงภาพยนตร์และละครเวทีเจ้าของรางวัล เขาเกิดที่มงต์เปลิเยร์และโตในหลายประเทศหลายทวีป รวมถึงคาเมรูน เบลเยียม และเกาะรียูเนียน เขาศึกษาที่โรงเรียนแพทย์ที่ปารีสเพื่อเจริญรอยตามคุณพ่อที่เป็นหมอ แต่ได้หันมาทำงานด้านการแสดง

เขามีผลงานมากมายทั้งภาพยนตร์ ผลงานทางทีวี ละครเวที และศิลปะ เขาร่วมงานกับปีเตอร์ บรูคและมารี เฮเลเน่ เอสเทียนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ปี 2001 เขาได้ก่อตั้งหมู่บ้านเล็กๆ ให้กับ Théâtre des Bouffes du Nord ที่ปารีสก่อนจะออกทัวร์การแสดงทั่วโลก ช่วงแสดง “A Magic Flute” ที่ Bouffes du Nord และทัวร์ต่างประเทศตั้งแต่ปี 2010 ไปจนถึง 2012 เขาร่วมงานกับผู้ประพันธ์ดนตรีแฟร็ค ครอว์ซัคครั้งแรก ในการร่วมงานกับศิลปินเหล่านี้ เขาได้ออกทัวร์ร่วมกับ “The Suit” ของแคน เธมบา (2012/2014) กำกับฯ โดยบรูค 

ก่อนหน้านั้นเขารับบท Rodrigue ในเรื่อง “El Cid” ภายใต้การกำกับฯ ของดีแคลน ดอนเนลลาน ที่ Festival d’Avignon และออกทัวร์ทั่วโลกนานกว่า 2 ปี เขารับบทนำในผลงานของเชคสเปียร์ “Othello” (Théâtre de Liège, 2018) และแสดงในเรื่อง “Dîner en Ville” (2017), “Go Forth” (NYC 2015/2016), “Bellona Destroyer of Cities” (NYC 2010) และรับบทนำในเรื่อง “Candide” (2009/2010) และอีกมากมาย

สำหรับผลงานภาพยนตร์ ล่าสุดเขาแสดงในเรื่อง “A Week in Paradise” โดยแสดงร่วมกับแม็ตต์ เดม่อน ในผลงานของทอม แม็คคาร์ธี “Stillwater” (2021) ร่วมงานกับเอ็ดดี้ เรดเมย์น และ จู้ด ลอว์ ในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” (2018) เล่นคู่กับนาตาลี เบย์ ในเรื่อง “L’Affaire SK1” (2014) และร่วมงานกับอิซาเบล ฮัพเพิร์ต ในเรื่อง “White Material” (2009) ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “Good Funk,” “Here and Now,” “L’Absence,” “Les Enfants du pays,” “Mille millièmes” และ “Mauvais genres”

ผลงานที่มีชื่อเสียงทางทีวี ได้แก่ “Parliament” ฤดูกาลที่ 1 และ 2 “Trépalium,” “Les Oubliées,” “Murphy’s Law,” “Vital désir,” “Frères de sang,” “La Guerre des saintes,” “Une autre vie,” “Les Mariés de l’île Bourbon,” “Table rase” และ “Le Dernier fils”

การแสดงโอเปร่าที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้บรรยายได้รวมถึงผลงานของฮอนนีเกอร์  “Jeanne Au Bucher” ที่  Salzburg Festival ผลงานของเมนเดลซอน “A Midsummer Night’s Dream” และผลงานของชอนเบิร์ก “A Survivor” ที่ La Philarmonique de Paris and Théâtre des Champs Elysées

ในฐานะผู้กำกัฐฯ เขากำกับในผลงานของเดวิด แฮร์ “Stuff Happens,”ผลงานของเดวิด มาเมต์  “Edmond,” และ  “Vol Au-Dessus D’un Nid De Coucou” (“One Flew Over the Cuckoo’s Nest”)

คอลลัม เทอร์เนอร์ (ธีซีอุส สคามันเดอร์) เพิ่งปิดกล้องจากการรับบทนำในเรื่อง “Masters of the Air” ทาง Apple TV+ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยทอม แฮงค์ส และสตีเวน สปีลเบิร์ก เทอร์เนอร์กำลังจะถ่ายทำผลงานดัดแปลงของจอร์จ คลูนีย์ “The Boys in the Boat”

ล่าสุดเขาแสดงในเรื่อง “The Last Letter from Your Lover” เขียนบทโดยนิค เพย์น ดัดแปลงจากหนังสือของโจโจ โมเยส คู่กับเฟลิซิตี้ โจนส์ และ ไชลีน วูดลีย์ ก่อนหน้านี้รับบทธีซีอุส สคามันเดอร์ ในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald”

ปี 2020 เขารับบทเด่นของ ฌอน เอเมอรี่ ในซีรีส์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทาง BBC เรื่อง  “The Capture” ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล BAFTA Award เขายังรับบทแฟรงค์ เชอร์ชิลล์ คนรักของตัวละครของอันยา เทย์เลอร์-จอย ในเรื่อง  “Emma”

ผลงานที่มีชื่อเสียงของเทอร์เนอร์ยังรวมถึงการรับบทแสดงนำในผลงานของมาร์ค เว็บบ์ “The Only Living Boy In New York” คู่กับเจฟฟ์ บริดเจส และ เคท เบ็กกินเซล และรับบทนำในผลงานอินดี้ของอดัม ลีออน “Tramps” ฉายครั้งแรกในงาน 2016 Toronto International Film Festival และได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง เทอร์เนอร์ยังแสดงในภาพยนตร์ของจอห์น บัวร์แมน “Queen & Country” คู่กับริชาร์ด อี. แกรนต์ และ เดวิด ธิวลิส ภาพยนตร์ของเจเรมี่ ซอลเนียร์ “Green Room” คู่กับอิโมเกน พูตส์ ในเรื่อง “Mobile Homes” ที่ฉายครั้งแรกในงาน 2017 Cannes Director’s Fortnight และรับบทสมทบในเรื่อง “Assassin’s Creed” คู่กับไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ และมาริยง โคทิลยาร์ด และ “War & Peace” ทาง BBC1

คอลลัมได้รับเลือกจาก Hollywood Reporter สำหรับการเป็นนักแสดงรุ่นต่อไปและได้รับเอกจาก BAFTA ปี 2014 “Breakthrough Brit” รวมถึงเป็น 1 ใน นักแสดงดาวรุ่งแห่งพรุ่งนี้ในงาน Screen International

เจสสิก้า วิลเลียมส์ (ลาลลี่ ฮิกส์)

เจสสิก้า วิลเลียมส์ (ลาลลี่ ฮิกส์) นักแสดงตลก นักเขียน และนักแสดงที่มีพรสวรรค์ เธอได้รับความสนใจจากผู้ชมทางทีวีจากน้ำเสียงที่มีอิทธิพล ทัศนคติ และไหวพริบที่แสดงออกเวลาพูดคุยผ่านสื่อต่างๆ

ตอนนี้วิลเลียมส์มีผลงานทาง HBOMax เรื่อง “Love Life” คู่กับวิลเลียม แจ็คสัน ฮาร์เปอร์ ในซีรีส์ตอนที่ 2 ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอได้แสดงในผลงานการกำกับฯ ของโอลิเวีย ไวลด์ “Booksmart”; ผลงานคอมเมดี้ของแพทริค ไบรซ์ “Corporate Animals” และผลงานของ CBS All Access “Twilight Zone”

ในปี 2017 วิลเลียมส์แสดงในเรื่อง “The Incredible Jessica James” คู่กับคริส โอ’ดาวด์ เขียนบทฯและกำกับฯ โดยจิม สเตราซ์ ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของนักเขียนบท (วิลเลียมส์) ในนิวยอร์คที่ต้องรับมือกับมิตรภาพร่วมกับผู้ชายคนหนึ่ง (โอ’ดาวด์) ระหว่างที่จะกลับไปคืนดีหลังเลิกกัน ภาพยนตร์ฉายครั้งแรกในการปิดค่ำคืนงาน 2017 Sundance Film Festival วิลเลียมส์ได้รับคำชมมากมาย และฉายช่วงซัมเมอร์ทาง Netflix

ในปี 2016 วิลเลียมส์มีผลงานผ่านพอดแคสต์ “2 Dope Queens” ร่วมกับเพื่อนนักแสดงตลกของเธอ ฟีบี โรบินสัน โดยอิงจากการแสดงไลฟ์คอมเมดี้ของพวกเขาที่บรูคลิน โดยพอดแคสต์จะเป็นการพูดคุยกันตั้งแต่เรื่องเซ็กซ์ไปจนถึงความรัก เรื่องเกี่ยวกับทรงผมและการใช้ชีวิตในเมืองนิวยอร์ค พอดแคสต์จะฉายผ่าน HBO ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 โดยเป็นผลงานพิเศษ 4 ตอนความยาวเป็นชั่วโมง และกลับสู่ฤดูกาลที่ 2 และตอนสุดท้าย ฉายครั้งแรกวันที่ 1 มีนาคม 2019

ปี 2015 วิลเลียมส์แสดงคู่กับเจอร์ไมน์ คลีเมนต์ และ เรจิน่า ฮอล ในผลงานที่ได้รับเลือกในงาน Sundance Film Festival เรื่อง “People Places Things” ในภาพยนตร์วิลเลียมส์รับบท แคท นักศึกษาศิลปะที่พยายามจับคู่แม่กับครูของเธอ

ปี 2012 วิลเลียมส์ร่วมกับทีมนักแสดง Comedy Central ในเรื่อง “The Daily Show” ในฐานะของแอฟริกัน-อเมริกันหญิงคนแรกที่อายุน้อยสุด วิลเลียมส์รับบทนำในผลงานตลกอีกมากมาย รวมถึงผลงานที่มีการพูดถึงอย่างมากเกี่ยวกับความโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สิทธิของผู้แปลงเพศ การแบ่งแยกเพศในการเมืองและเชื้อชาติ ระหว่างนั้นเธอยังมีผลงานด้านการนำเสนอข่าวสารและเป็นปากเสียงอันทรงพลังผ่านทางคอมเมดี้ วิลเลียมส์ประกาศว่าเธอออกจากว์เดือนมิถุนายน 2016 หลังจากร่วมงานในซีรีส์ช่วงดึกนาน 4 ปี

ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงซีรีส์ยอดนิยมทาง HBO เรื่อง “Girls” ที่เธอรับบท คาเร็น เพื่อนที่ทำงานของฮานนาห์ ฮาร์แวธในฤดูกาลที่ 3 เธอแสดงทางทีวีครั้งแรกเมื่อปี 2006 ในบท วิด้า แอตวูด ทางผลงานคอมเมดี้ดราม่าทาง Nickelodeon เรื่อง “Just for Kicks” เกี่ยวกับนักฟุตบอลสาวอายุน้อยในนิวยอร์ค

ก่อนความสำเร็จในเรื่อง “The Daily Show” เธอเก็บประสบการณ์ด้านการเป็นนักเขียนและนักแสดงร่วมกับ Los Angeles Upright Citizens Brigade จนเธอมีฝีมือด้านสแตนอัพและการแสดงสด เธอได้รับเกียรติติด 1 ใน 10 นักแสดงตลกที่น่าจับตามองของ Variety ปี 2012

วิลเลียมส์เกิดและโตที่ลอสแองเจลิส เข้าศึกษาที่ California State University Long Beach และจบการศึกษาเมื่อปี 2012

วิคตอเรีย ยีทส์ (บันตี้) นักแสดงชาวอังกฤษเกิดที่บอร์นเมาธ์ ความหลงใหลแรกของเธอคือบัลเลต์ การเต้นกับ Kirov ตอนอายุ 12 ปี การออดิชั่นครั้งหนึ่งทำให้เธอได้ร่วมงานกับ National Youth Music Theatre ที่เธอเป็นสมาชิกนาน 3 ปี ได้ร่วมงานอย่างมืออาชีพกับผู้กำกับฯ ที่เก่งหลายท่าน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เธออยากเป็นนักแสดง

หลังจากนั้นยีทส์เรียนที่ The Royal Academy of Dramatic Art และจบการศึกษาปี 2006 ต่อมาเธอแสดงละครเวทีอีกหลายปี งานแรกของเธอคือการรับบท จีน ฮาร์โลว์ ในผลงานชื่อดัง “The Beard” เขียนบทฯ โดยไมเคิล แม็คเคลอร์ ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากสำหรบเธอ ต่อมาเธอได้แสดงอีกหลายบทบาทและร่วมงานกับผู้กำกับละครเวทีชื่อดังอีกมากมาย เช่น ลินด์เซย์ เทอร์เนอร์, แกดี้ โรล, อินดู รูบาซิงแฮม และ เทอร์รี่ จอห์นสัน

หลังจากการแสดงละครนานหลายปี เธอตัดสินใจแสดงทางทีวี หลักเป็นแขกรับเชิญให้ “Holby City” หลายตอนและร่วมงานกับแฮร์รี่ แบรดเบียร์ ในเรื่อง “Lip Service” ในปี 2012 เธอรับบทแสดงนำที่มีชื่อเสียงอย่างซิสเตอร์วินิเฟรดในซีรีส์เรืองดัง “Call the Midwife”

ระหว่างแสดงเธอร่วมงานกับฮีโร่ในวัยเด็กของเธออีกหลายคน โดยเรียนรู้จากสิ่งดีๆ เช่น แพม เฟอร์ริส, จูดี้ พาร์ฟิตต์, เจนนี่ อากัตเตอร์, ลินดา บาสเซ็ตต์ และ แฮร์เรียต วัลเตอร์ส รวมถึงอีกหลายคน เธอใช้เวลา 5 ปีร่วมงานในโชว์นั้นก่อนจะแคสต์บทบันตี้ในเรื่อง “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald”

ริชาร์ด คอยล์ (อาเบอร์ฟอร์ธ) นักแสดงที่มีพรสวรรค์และความสามารถหลายด้านพร้อมด้วยผลงานอีกมากมายทั้งบนจอภาพยนตร์และละครเวที ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ ผลงานของมาดอนน่า “W.E.” ที่ร่วมงานกับออสการ์ ไอแซค; “Pusher” และภาพยนตร์ของไมค์ นีเวลล์ “Prince of Persia: The Sands of Time” นำแสดงโดยเจค จิลเลนฮาล และ เจ็มม่า อาร์เทอร์ตัน ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงภาพยนตร์ของริดลีย์ สก็อตต์ “A Good Year” ที่ร่วมงานกับรัสเซล โครว์; “The Libertine” ที่ร่วมงานกับจอห์นนี่ เดปป์ ภาพยนตร์ของไมค์ เลห์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar เรื่อง “Topsy-Turvy” และภาพยนตร์ของฟรานโก เซฟไฟเรลลี่ “Jane Eyre”

นอกจากนั้นคอยล์ยังมีซีรีส์อีกมากมายทางทีวี เขาแสดงในคอมเมดี้ที่ได้รับความนิยมและคำชมจากนักวิจารณ์ “Coupling” ซึ่ง NBC ผลิตขึ้นมาใหม่สำหรับทางทีวีอเมริกัน และเขารับบทแสดงนำในดราม่าที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ “Whistleblowers” ผลงานอื่นที่แสดงนำยังมี “Life of Crime” ที่ร่วมงานกับเฮย์ลีย์ แอตเวลล์; “Crossbones” ที่ร่วมงานกับจอห์น มัลโควิช และ แคลร์ฟอย และ “The Collection” ที่ร่วมงานกับมามี่ กัมเมอร์ทาง  Amazon ล่าสุดเขาแสดงทาง Netflix เรื่อง “The Chilling Adventures of Sabrina”  ปีนี้เขาจะมีผลงานทาง Sky ความยาว 8 ตอนแนวดราม่าเรื่อง “Then You Run” สร้างอิงจากนิยายระทึกขวัญของโซแรน ดราเวนคาร์  You

นอกจากนั้นเขายังประสบความสำเร็จและได้รับความเคารพจากการแสงละครเวทีที่สหราชอาณาจักร เขาแสดงในเรื่อง “The York Realist” (Royal Court Theatre และ Strand Theatre, West End) ที่ได้รับเลือกเป็น Best Supporting Actor ในงาน  Theatregoers’ Choice Awards และต่อมาแสดงคู่กับกวินเนธ พัลโทรว์ในผลงานทางสหราชอาณาจักร “Proof”(Donmar Warehouse) ละครเวทีเรื่องอื่นที่รับบทนำยังมีผลงานของแพทริค มาร์เบอร์ “After Miss Julie” ที่ร่วมงานกับเคลลี่ เรลลี่ กำกับฯ โดยไมเคิล แกรนเดจ (Donmar Warehouse); “Don Carlos” ที่ร่วมงานกับเดเร็ค จาโคบี้ กำกับฯ โดยไมเคิล แกรนเดจ (Gielgud Theatre West End); “Look Back in Anger” กำกับฯ โดยปีเตอร์ กิลล์ (Theatre Royal, Bath) และผลงานของฮาโรลด์ พินเตอร์ “The Lover” and “The Collection” กำกับฯ โดยเจมี่ ลอยด์ (Comedy Theatre West End) ล่าสุดคอยล์รับบท แม็คดัฟฟ์ ในเรื่อง “Macbeth” คู่กับเคนเนธ บรานอห์ที่  NYC’s Park Avenue Armory ต่อมารับบแลร์รี่ แลมบ์ แสดงในละครที่ได้รับรางวัล Olivier Award เรื่อง “Ink” กำกับฯ โดยรูเพิร์ต กูลด์ (Almeida/Duke of York’s West End)

มาเรีย เฟอร์แนนด้า แคนดิโด (ซานโตส) นักแสดงชาวบราซิลที่มีผลางนมากมายทั้งละครเวทีและภาพยนตร์ ตอนอยู่ที่อิตาลี่เธอรับบทมาเรีย คริสติน่า ในเรื่อง “Il Traditore” กำกับฯ โดยมาร์โก เบลลอคชิโอ และได้รับรางวัล Kineo Award สาขา Best Actress ที่งาน Venice Festival เธอยังได้รับรางวัลในงาน Taormina Festivalรางวัล  Nation Award อีกด้วย

เธอรับบท ดาเมียน่า ในเรื่อง “A Bunch of Bastards” กำกับฯ โดยแกเบรียล อบาเนซี เธอรับบทลิเวียในเรื่อง  “My Hindu Friend” คู่กับวิลเล็ม ดาโฟ กำกับฯ โดยเฮ็คเตอร์ บาเบ็นโก ที่ฝรั่งเศสเธอรับบทพอลล่าในเรื่อง “La Chambre des Merveilles” กำกับฯ โดยลิซ่า อาซูลอส และแอนาในเรื่อง “O Incerto Lugar do Desejo” กำกับฯ โดยพอลล่า ทราบุลซี เธอแสดงนำในบทจี.เอช.ในเรื่อง “The Passion According to G.H.” สร้างอิงจากหนังสือชื่อเดียวกันของคลารีซ ลิสเปคเตอร์ กำกับฯ โดยลูอิซ เฟอร์นันโด คาร์วัลโฮ

เธอยังแสดงในเรื่อง “Sal de Prata” ด้วยบทคาเทีย; “Vermelho Monet” รับบทแอนตัวเน็ตต์ เลเฟวี และรับทแอนาในเรื่อง “Dom” ที่ดัดแปลงจากหนังสือคลาสสิคของมาชาโด เดอ แอสซิส Dom Casmurro ที่เธอได้รับรางวัล  Best Actress ในงาน Gramado Film Festival สำหรับผู้กำกับฯ เฟอร์นันโด เมเรลเลส เธอรับบท มาริเลีย ในทีวีซีรีส์ “Happily Ever After?” เธอยังแสดงนำในซีรีส์ “Capitu” กำกับฯ โดยคาร์วัลโฮ

สำหรับละครเวทีเธอแสดงในเรื่อง “Troilus and Cressida” (Cressida) ของวิลเลียม เช็คสเปียร์; “Le Liaisons Dangereuses” (Merteuil) โดยคริสโตเฟอร์ แฮฒป์ตัน ดัดแปลงจากนิยายของปิแอร์ โชเดอร์ลอส เดอ แลคลอส; “Petits Crimes Conjugaux” (Lisa) โดยอีริค-เอ็มมานูเอล ชมิตต์ และ “The Rabbit’s Hole” (Becca Corbett) โดยเดวิด ลินด์เซย์-อาแบร์ ที่เธอได้รับรางวัล Best Actress ในอีกหลายบทบาทบนเวที

เธอเป็นพาร์ทเนอร์ในการก่อตั้ง “Casa do Saber” ที่เซา เปาโล ประเทศบราซิล องค์กรด้านศิลปะที่มอบความรู้และจัดพูดคุยเรื่องศิลปะ วิทยาศาสตร์สังคม หลักปรัชญา งานประพันธ์ ประวัติศาสตร์ และอีกหลายเรื่อง ปี  2017 เธอมีส่วนร่วมในผลงาน “Terra 2” รายการทาง TVCultura Channel เกี่ยวกับโลกร่วมสมัย โปรแกรมนี้ได้รับรางวัล Paulista Association of Art Critics (APCA) สาขา Best Television Program

โอลิเวอร์ มาซุช (โวเกล) นักแสดงเยอรมันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งจากรุ่นเดียวกัน เขาโดที่บอนน์ ประเทศเยอรมันนี เรียนด้านการแสดงที่ UDK Berlin เขาเป็นนักแสดงละครเวทีที่ประสบความสำเร็จในโรงละครเยอรมันชื่อดังอย่าง Munich Kammerspiele, the Schauspielhaus Zurich และ Vienna Burgtheater ที่เขามีส่วนร่วมตั้งแต่ปี 2009 ไปจนถึง 2015/2016 นอกจากนั้นยังแสดงในผลงานภาพยนตร์และทางทีวีอีกมากมาย ซึ่งเขามีบทบาทที่หลากหลาย

ในปี 2015 เขารับบทนำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในเรื่อง “Look Who’s Back” การแสดงที่น่าประทับใจทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล German Film Award อันยิ่งใหญ่ the Lola โปรเจ๊กต์ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมของเขายังมี “Never Look Away” (2018) กำกับฯ โดยฟลอเรียน เฮนเคล วอน ดอนเนอร์สมาร์ค และ “When Hitler Stole Pink Rabbit” (2019) กำกับฯ โดยแคโรไลน์ ลิงค์

ตั้งแต่รับบทแสดงนำในซีรีส์ที่ได้รับคำชมจากทั่วโลก “Dark” เขาได้เป็นที่รู้จักทั่วโลก และยังได้รับบทแสดงนำ เรนเนอร์ เวอร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ ในผลงานของออสการ์ โรห์เลอร์ “Enfant Terrible” ที่ฉายครั้งแรกที่งาน 2020 Cannes Film Festival จากการได้รับเลือกอย่างเป็นทางการ

ปี 2021 มาซุชแสดงในผลงานของฟิลลิป สเตอลัซ “The Royal Game” ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ดัดแปลงจากนิยายประวัติศาสตร์ของสเตฟาน ซไวก์ชื่อเรื่องเดียวกัน เขายังแสดงใน “The Girlfriend Experience” ฤดูกาลที่ 3 ของทาง Amazon Video ด้วย เขากำลังจะมีผลงานแสดงในคอมเมดี้แวมไพร์ทาง Netflix เรื่อง “Day Shift” คู่กับเจมี่ ฟ็อกซ์, สก็อตต์ แอดคินส์ และ สนูป ด็อกก์

ประวัติผู้สร้างภาพยนตร์

เดวิด เยทส์ (ผู้กำกับฯ) โตที่เซนต์ เฮเลนส์ เมอร์ซีย์ไซด์ และเรียนด้านการเมืองที่ University of Essex และที่  Georgetown University ในวอชิงตัน ดีซี เขามีความสนใจด้านการสร้างภาพยนตร์ตั้งแต่ตอนวัยรุ่น และได้ทำหนังสั้นแนวดราม่าหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์สารคดีที่มหาวิทยาลัยก่อนจะมาฝึกงานที่ The National Film and Television School ในฐานะผู้กำกับฯ  

เยทส์ได้รับรางวัล BAFTA Award ครั้งแรกจากผลงานมินิซีรีส์ทาง BBC เรื่อง “The Way We Live Now” ผลงานแนวพีเรียดดราม่านำแสดงโดยแมทธิว แม็คแฟดเยน และ คิลเลียน เมอร์ฟี่ ในปี 2003 เขากำกับฯ ซีรีส์แนวดราม่าทางทีวี “State of Play” ที่ได้รับรางวัล Directors Guild of Great Britain (DGGB) Award สาขา  Outstanding Directorial Achievement

หลังจากปีนั้นเขาได้กำกับผลงานแนวดราม่าความยาว 2 ตอน “Sex Traffic” ได้รับรางวัล BAFTA Award อีกครั้งและได้เข้าชิงรางวัล DGGB Award เป็นครั้งที่ 2 ผลงานของเขายังได้รับรางวัลอีกมากมายจากทั่วโลก รวมถึง BAFTA อีก 8 รางวัล RTS Award อีก 4 รางวัลในสาขา Best Drama ทั้งสองเรื่อง

ต่อมาเยทส์ได้ควบคุมผลงาน “Harry Potter” อีก 4 ตอนและตอนจบของ “Harry Potter and the Deathly Hallows – ภาค 2” ที่ทำลายสถิติแฟรนไชส์ในบทสรุปอันยิ่งใหญ่

ปี 2016 เขากำกับฯ แอ็คชั่นผจญภัย “The Legend of Tarzan” นำแสดงโดยอเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด, มาร์โกต์ ร็อบบี้, ซามูเอล แอล. แจ็คสัน และ คริสทอฟ วอลซ์ ก่อนจะมาควบคุมเรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ที่พาเราสู่ยุคใหม่ของโลกแห่งเวทมนตร์ที่สร้างโดยเจ.เค. โรว์ลิ่ง ภาพยนตร์ต่อจากเรื่องราวของ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ปี 2018

นอกจากผลงานด้านการกำกับฯ แล้ว เยทส์ยังให้การสนับสนุนนักเขียนและผู้กำกับฯ โดยมอบทุน The Bush Theatre in West London ทุนประจำปีที่ The National Film and Television School และสนับสนุน The Watersprite Film Festival ในแคมบริดจ์อย่างต่อเนื่อง

เยทส์ยังได้รับรางวัล John Schlesinger Britannia BAFTA Award สาขา Excellence in Directing และ  Honorary Fellowship สาขา Outstanding Contribution to the British Film and Television Industry จาก National Film and Television School

เจ.เค. โรว์ลิ่ง (ผู้เขียนบทฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ) เจ.เค. โรว์ลิ่ง นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง เจ้าของผลงานหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้ง 7 เล่ม และนิยายสำหรับเด็กและผู้ใหญ่อีกหลายเรื่อง รวมถึงนิยายชุดแนวอาชญากรรม Strike ที่เขียนภายใต้นามปากกาโรเบิร์ต กัลเบรธ

หนังสือหลายเล่มของเธอถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และผลงานทางทีวี เธอมีส่วนร่วมในการแสดงของแฮร์รี่บนเวที เรื่อง “Harry Potter and the Cursed Child” และภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์ของเธอ Fantastic Beasts and Where to Find Them

นิยายเรื่องแรกของเธอสำหรับผู้ใหญ่ The Casual Vacancy ตีพิมพ์เมื่อเดือนกันยายน 2012 และดัดแปลงสำหรับทีวี BBC เมื่อปี 2015 นิยายแนวอาชญากรรม Cormoran Strike ของเธอที่เขียนภายใต้นามปากกาโรเบิร์ต กัลเบรธ รวมถึงเรื่อง The Cuckoo’s Calling ตีพิมพ์เมื่อปี 2013; The Silkworm ตีพิมพ์เมื่อปี 2014; Career of Evil ปี 2015 และ Lethal White ปี 2018 ผลงานเหล่านั้นถูกดัดแปลงสำหรับทีวี ผลิตโดย Brontë Film and TV

สุนทรพจน์ของเธอสำหรับพิธีจบการศึกษาของฮาวาร์ดปี 2008 ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2015 ในรูปแบบหนังสือภาพ , Very Good Lives: The Fringe Benefits of Failure and the Importance of Imagination มีการจัดจำหน่ายเพื่อมูลนิธิ Lumos ของเธอและมหาวิทยาลัยเพื่อเงินทุนสำหรับ Harvard บริษัทดิจิตัลของเธอ Pottermore ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 สำหรับแฟนๆ เพื่อรับข่าวสารและบทความต่างๆ เกี่ยวกับโลกเวทมนตร์

สตีฟ โคลฟส์ (ผู้เขียนบทฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ) เขียนบทฯ ให้กับ “Harry Potter” ทั้ง 7 ภาค อิงจากหนังสือที่ได้รับความนิยมของเจ.เค.โรว์ลิ่ง เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ “Fantastic Beasts and Where to Find Them” และ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” และล่าสุดผลิตเรื่อง “Mowgli: Legend of the Jungle.ฃ”

ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึง “Racing with the Moon”; “Wonder Boys” ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล Oscar สาขา Best Adapted Screenplay; “Flesh and Bone” และ “The Fabulous Baker Boys” เขากำกับฯ สองเรื่องหลังด้วย

เดวิด เฮย์แมน (ผู้อำนวยการสร้างฯ) ผลิตภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของเจ.เค. โรว์ลิ่ง Harry Potter ทั้ง 8 เรื่อง การผจญภัยอันยิ่งใหญ่บนภาพยนตร์เริ่มต้นเมื่อเขาอ่านหนังสือครั้งแรกก่อนจะมีการตีพิมพ์และเห็นศักยภาพในการพัฒนาสู่ภาพยนตร์ ในปี 2016 เขาได้ผลิตผลงานที่ได้รับความนิยมทั่วโลก “Fantastic Beasts and Where to Find Them” จุดเริ่มต้นภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องใหม่ในโลกแห่งเวทมนตร์

เฮย์แมนเข้าชิงรางวัล Oscar และ BAFTA จากภาพยนตร์ของควินติน ตารานติโน่ “Once Upon a Time… in Hollywood” นำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, แบรด พิตต์, มาร์โกต์ ร็อบบี้ และ  อัล ปาชิโน่ ภาพยนตร์ของโนอาห์ บวมแบช “Marriage Story” ที่นำแสดงโดยอดัม ไดร์เวอร์, สการ์เล็ตต์ โจฮานสัน และ ลอว์ร่า เดิร์น และ ภาพยนตร์ของอัลฟอนโซ คัวรอน “Gravity” นำแสดงโดยแซนดร้า บุลล็อค และ จอร์จ คลูนีย์

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเขายังมีภาพยนตร์ที่กำกับฯ โดยพอล คิง 2 เรื่อง สาร้างอิงจากหนังสือที่ได้รับความนิยมทั่วโลกของไมเคิล บอนด์ เรื่องแรกนำแสดงโดยฮิวจ์ บอนเนวิลล์, แซลลี่ ฮอว์คินส์, จูลี่ วอลเตอร์ส และนิโคล คิดแมน และภาคต่อกลับมาร่วมงานกับบอนเนวิลล์, ฮอว์คินส์ และวัลเตอร์ รวมถึงฮิวจ์ แกรนต์ และ เบร็นแดน กลีสัน ผลางนคอมเมดี้ “We’re the Millers” นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ อนิสตัน และ เจสัน ซูเดคิส และ “Yes Man” นำแสดงโดยจิม แคร์รีย์ และ โซอี้ เดสชาเนนล ผลงานไซไฟระทึกขวัญของฟรานซิส ลอว์เรนซ์ “I Am Legend” นำแสดงโดยวิล สมิธ และผลงานแนวดราม่าของมาร์ค เฮอร์แมน “The Boy in the Striped Pyjamas” นำแสดงโดยเวร่า ฟาร์ไมก้า และ เดวิด ธิวลิส

เฮย์แมนมีภาพยนตร์อีกมากมายกำลังจะฉาย เช่น “Wonka” เกี่ยวกับวิลลี่ วอนก้าตอนวัยรุ่น นำแสดงโดยทิโมธี ชาลาเมต์ กำกับฯ โดยพอล คิง ผลงานของเกรต้า เกอร์วิก “Barbie” นำแสดงโดยมาร์โกต์ ร็อบบี้ และ ไรอัน กอสลิง และผลงานดัดแปลงจากโนอาห์ บวมแบชของดอน เดลิลโล “White Noise” นำแสดงโดยอดัม ไดร์เวอร์ และ เกรต้า เกอร์วิก

ไลโอเนล วิแกรม (ผู้อำนวยการสร้างฯ) มีความรับผิดชอบช่วงดำรงตำแหน่งที่วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์สจากการได้รับสิทธิ์หนังสือ Harry Potter ของเจ.เค. โรว์ลิ่งสำหรับสตูดิโอ และมีส่วนร่วมในแฟรนไชส์ฟอร์มยักษ์ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ควบคุมภาพยนตร์ซีรีส์ทั้ง 8 ตอน เริ่มแรกเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการสร้างอิสระ ล่าสุดผลิตเรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” และ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald”

นอกจากนั้นเขายังร่วมเขียนบทฯ และอำนวยการสร้างฯ แอ็คชั่นผจญภัย “King Arthur: Legend of the Sword” นำแสดงโดยชาร์ลี ฮันแนม และ จู้ด ลอว์ และ “The Man from U.N.C.L.E.” นำแสดงโดยเฮนรี่ คาวิลล์ และ อาร์มี่ แฮมเมอร์ ก่อนหน้านี้ได้ผลิตและร่วมเขียนบทฯ “Sherlock Holmes” ร่วมกับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และจู้ด ลอว์ในบทนักสืบแห่งตำนานและวัตสัน ต่อมาได้ผลิตภาคต่อ “Sherlock Holmes: Game of Shadows” และอยู่ในช่วงเตรียมการผลิตผลงานภาค 3 ของแฟรนไชส์

วิแกรมยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฯ “Seventh Son” และผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ “August Rush” และ “Legend of the Guardians: The Owls of Ga’hoole”

ในฐานะของผู้บริหารสตูดิโอ เขาสร้างความสำเร็จให้ภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น “Three Kings,” “Charlotte Gray,” “The Good German” และ “The Big Tease”

ก่อนการร่วมงานกับวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เขาได้ใช้เวลา 10 ปีทำงานในโลกผลงานอินดี้ รวมถึงการเป็นผู้บริหารและผู้อำนวยการสร้างฯ เขาบริหารบริษัทของเรนนี่ ฮาร์ลินและกรีน่า เดวิส รวมถึงร่วมงานกับเชพ กอร์ดอน และ แคโรลิน ฟิฟเฟอร์ที่ Alive Films ผลงานแรกของเขาในโลกฮอลลีวูดคือรันเนอร์ของผู้อำนวยการสร้างฯ เอลเลียต แคสต์เนอร์ เขาทำงานจนได้ผลิตภาพยนตร์ต้นทุนต่ำให้แคสต์เนอร์โดยเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับแคสเซียน เอลเวส

เขาที่ประเทศอังกฤษ จบการศึกษาจาก Eton College and Oxford University และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Oxford Film Foundation

ทิม ลูอิส (ผู้อำนวยการสร้างฯ) เคยทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ “Fantastic Beasts and Where to Find Them” และ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้จัดการกองถ่ายย่อย (UPM) ในเรื่อง “Harry Potter” ตอน “Harry Potter and the Prisoner of Azkaban,” “Harry Potter and the Goblet of Fire,” “Harry Potter and the Order of the Phoenix” และ “Harry Potter and the Half-Blood Prince” เขายังเคยทำหน้าที่  UPM และร่วมอำนวยการสร้างในผลงานตอนจบ “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1” และ “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2”

ในปี 2015 เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ผลงานสร้างอิงจากนิยายคลาสสิค “Cinderella” ของเคนเนธ บรานอห์ นำแสดงโดยลิลลี่ เจมส์ และ เคท บลันเช็ตต์ และผลงานของโจ ไรท์ “Pan” นำแสดงโดยฮิวจ์ แจ็คแมน, ลีไว มิลเลอร์ และ การ์เร็ตต์ เฮดลันด์ เขายังเป็น UPM และผู้ร่วมอำนวยการสร้างในผลงานแอ็คชั่นของดั๊ก ไลแมน “Edge of Tomorrow” นำแสดงโดยทอม ครูซ และ เอมิลี่ บลันท์

ลูอิสเริ่มทำงานด้านภาพยนตร์ในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับฯ ในผลงานของสตีเวน สปีลเบิร์ก “Empire of the Sun ” ผลงานของไมเคิล แอพเทด “Gorilla’s in the Mist,” ผลงานของนีล จอร์แดน “High Spirits,” ผลงานของคลินท์ อีสต์วูด “White Hunter Black Heart,” ผลงานของเจมส์ เดียร์เด็น  “A Kiss Before Dying,” ผลงานของจอห์น เออร์วิน  “Robin Hood” และผลงานของฟิลลิป นอยซ์ “Patriot Games” รวมถึงอีกมากมาย เขายังร่วมงานในภาพยนตร์บอนด์อีกหลายเรื่อง รวมถึงผู้ช่วยผู้กำกับฯ “GoldenEye” และผู้จัดการกองถ่ายในเรื่อง “Tomorrow Never Dies,” “The World Is Not Enough” และ “Die Another Day”

จอร์จ ริชมอนด์ (ผู้กำกับภาพ) ทำหน้าที่ตากล้องครั้งแรกเมื่อปี 2008 ในภาพยนตร์ต้นทุนสูงของมาเร็ค โลซีย์  “The Hide” เขาได้รับรางวัลทั้งจากงาน Syracuse และ Monaco Film Festivals ต่อมาร่วมงานกับผู้กำกับที่ผันตัวเป็นนักแสดง เด็กซ์เตอร์ เฟล็ตเชอร์ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกของเฟล็ตเชอร์ “Wild Bill’ เมื่อปี 2010 ทำให้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับฯ แมทธิว วอห์น เพื่อถ่านทำภาพยนตร์ 2 เรื่องแรกของแฟรนไชส์ “Kingsman” ปี 2014 และ 2016 ริชมอนด์ได้ร่วมงานกับเฟล็ตเชอร์และวอห์นอีกครั้งในฐานะผู้กำกับฯ ผู้อำนวยการสร้างฯ และตากล้องในผลงานล่าสุดปี 2019 เรื่อง “Rocketman” ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล Satellite Award สาขา Best Cinematography

ล่าสุดริชมอนด์เพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์ของวอห์น “Argylle” ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึงภาพยนตร์ที่ฮิตปีล่าสุด “Free Guy”; “Tomb Raider” (2018); ภาพยนตร์กำกับฯ โดยเด็กซ์เตอร์ เฟล็ตเชอร์ “Eddie the Eagle” (2015) และ “Sunshine on Leith” (2013) และ “Blood” (2012) เขายังเป็นตากล้องในภาพยนตร์ “Mission: Impossible – Rogue Nation” (2015)

เขาได้แรงบันดาลใจจากพ่อของเขาที่เป็นตากล้อง โทนี่ ริชมอนด์ โดยเขาเริ่มทำงานในฐานะเด็กฝึกงานที่ไม่มีค่าจ้าง จนเลื่อนขั้นก่อนจะมาจับกล้องในผลงานของจอห์น ไมเลียส “Rough Riders” ปี 1996 ต่อมาเป็นตากล้องในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เขาได้ฝึกฝีมือจากตากล้องระดับแถวหน้าของวงการ ชเน โรดริโก ปรีโต ในภาพยนตร์ของโอลิเวอร์ สโตน “Alexander”; เอ็มมานูเอล “ชีโว” ลูเบซกี้ ในภาพยนตร์ของอัลฟอนโซ คัวรอน “Children of Men”; ดีออน เบเบ้ ในภาพยนตร์ของร็อบ มาร์แชล “Nine”; จานัซ คามินสกี้ ในภาพยนตร์ของสตีเวน สปีลเบิร์ก “War Horse”; วิลมอส ซิกมอนด์ ในภาพยนตร์ของวูดี้ อัลเล็น “Cassandra’s Dream” และเกร็ก ฟราเซอร์ ในภาพยนตร์ของรูเพิร์ต แซนเดอร์ส “Snow White and the Huntsman” และอีกหลายคน  

สจ๊วต เครก (ผู้ออกแบบฉาก) เจ้าของรางวัล Academy Award ถึง 3 ครั้งและเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบฉากที่ได้รับความนับถือมากที่สุดแห่งวงการ เขาได้ออกแบบโลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้ง 8 เรื่อง เขาหวนสู่โลกแห่งเวทมนตร์เพื่อออกแบบให้เรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ที่ได้เข้าชิงรางวัล Academy Award  ครั้งล่าสุด และได้รับรางวัล BAFTA ต่อมาได้ออกแบบ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล  BAFTA Award อีกครั้ง

เขาได้รับรางวัล Academy Award ครั้งแรกจากผลงานเรื่องดังของริชาร์ด แอทเทนโบโรห์ “Gandhi” ต่อมาได้รับรางวัล Oscars จากผลงานการออกแบบในภาพยนตร์ของสตีเฟน เฟรียร์ส “Dangerous Liaisons” และแอนโธนี มิงเฮลลา “The English Patient” และได้รับรางวัล Art Directors Guild Award สำหรับเรื่องหลัง 

เขายังได้เข้าชิงรางวัล Oscar อีก 7 รางวัล รวมถึงอีก 4 รางวัลจากผลงานในเรื่อง “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone”; “Harry Potter and the Goblet of Fire” ที่ได้รับรางวัล BAFTA Award; “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1” และ “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2” ที่ได้รับรางวัล Art Directors Guild Award สำหรับเรื่องล่าสุด นอกจากนั้นยังได้เข้าชิงรางวัล BAFTA สำหรับภาพยนตร์ Harry Potter ทั้ง 7 เรื่อง “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone,” “Harry Potter and the Chamber of Secrets,” “Harry Potter and the Prisoner of Azkaban,” “Harry Potter and the Order of the Phoenix,” “Harry Potter and the Half-Blood Prince,” “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1” และ “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2” 

นอกจากนั้นยังได้เข้าชิงรางวัล Oscar สำหรับการออกแบบในภาพยนตร์ของเดวิด ลินช์ “The Elephant Man” ที่เขาได้รับรางวัล BAFTA Award ครั้งแรก ในภาพยนตร์ของโรแลนด์ จอฟฟี “The Mission” และภาพยนตร์ของแอทเทนโบโรห์ “Chaplin” เครกยังได้เข้าชิงรางวัล BAFTA Award สำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์ของฮิวจ์ ฮัดสัน  “Greystoke: The Legend of Tarzan, Lord of the Apes” ปี 2012 เขาได้รับเกียรติจาก Art Directors Guild with a Contribution to Cinematic Imagery Award สำหรับผลงานในเรื่อง “Harry Potter” ทั้งหมด

เครกร่วมงานกับริชาร์ด แอทเทนโบโรห์มาอย่งายาวนาน ครั้งแรกร่วมงานในฐานะผู้กำกับศิลป์ในเรื่อง “A Bridge Too Far” ต่อมาเป็นผู้ออกแบบฉากในเรื่อง “Cry Freedom,” “Shadowlands” และ “In Love and War” และภาพยนตร์อีกหลายเรื่องของผู้กำกับฯ  

ผลงานอื่นของเขาที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้ออกแบบฉาก รวมถึงภาพยนตร์ของเดวิด เยทส์ “The Legend of Tarzan,” ภาพยนตร์ของไมเคิล ฮอฟแมน “Gambit,” ภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เรดฟอร์ด “The Legend of Bagger Vance,” ภาพยนตร์ของโรเจอร์ มิเชลล์ “Notting Hill,” ภาพยนตร์ของเจเรเมียห์ เช็คฮิค “The Avengers,” ภาพยนตร์ของสตีเฟน เฟรียร์ส “Mary Reilly,” ภาพยนตร์ของแอ็กนีซก้า ฮอลแลนด์ “The Secret Garden,” ภาพยนตร์ของไมเคิล คาตัน-โจนส์ “Memphis Belle” และภาพยนตร์ของแพท โอ’คอนเนอร์ “Cal” ในช่วงแรกเขาเป็นผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์ของริชาร์ด ดอนเนอร์  “Superman”

ปี 2018 เขาได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award จากงาน British Film Designers Guild

            นีล ลามอนต์ (ผู้ออกแบบฉาก) เคยเป็นผู้ออกแบบฉากในผลงานเรื่องดัง “Star Wars” ตอน “Solo: A Star Wars Story” และ “Rogue One: A Star Wars Story” หลังเป็นผู้ควบคุมการกำกับศิลป์ในผลงานก่อนหน้านั้น “Star Wars: Episode VII – The Force Awakens” เขายังร่วมงานในโลกแห่งเวทมนตร์มาอย่างยาวนาน เคยร่วมงานกับสจ๊ต เครกในฐานะผู้กำกับศิลป์ในเรื่อง “Harry Potter” ทั้งหมด

            เขาเริ่มทำงานด้านภาพยนตร์ในแผลกศิลป์ของภาพยนตร์เรื่องบอนด์ “For Your Eyes Only” ปี 1981 ต่อมาร่วมงานกับ Eon Productions อีก 5 ปีในเรื่อง “The World is Not Enough”

ช่วงนั้นเขาได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก สจ๊วต เครก ครั้งแรกในภาพยนตร์ดัดแปลงและได้รับรางวัล “The English Patient” ต่อด้วย “In Love and War” และ “The Avengers”

ลามอนด์ได้ร่วมงานในภาพยนตร์รางวัล Oscar เรื่อง “Titanic” และผลงานแนวดราม่าสงครามโลกครั้งที่ 2  “Enemy at the Gates”

เขาร่วมงานกับเครกอีกครั้งหลังได้รับข่าวว่าลามอนต์จะได้ร่วมงานในโลกพ่อมดวัยรุ่น ที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับเครกอีก 10 ปี

หลังจากปิดกล้อง “Harry Potter” เขาเป็นผู้ควบคุมการกำกับศิลป์ในเรื่อง “War Horse” ร่วมกับผู้ออกแบบฉาก ริค คาร์เตอร์ และ “Gambit” ที่กลับมาร่วมงานกับเครกในการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต่างออกไป

ตอนนี้เขากำลังร่วมงานกับเครกเพื่อพัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่ๆ

มาร์ค เดย์ (ผู้ลำดับภาพ) ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ เดวิด เยทส์ ในภาพยนตร์และผลงานทางทีวีมาแล้วหลายเรื่อง รวมถึงผลงาน 4 เรื่องล่าสุดของ  “Harry Potter” ตอน “Harry Potter and the Order of the Phoenix,” “Harry Potter and the Half-Blood Prince,” “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1” และ “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2” นอกจากนั้นยังลำดับภาพเรื่อง “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ต่อด้วย  “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” และร่วมงานกับเยทส์ในผลงานผจญภัยแนวพีเรียด “The Legend of Tarzan”

ในฐานะผู้ลำดับภาพเจ้าของรางวัล เขาได้รับรางวัล BAFTA Award และเข้าชิงรางวัล Royal Television Society (RTS) Award จากผลงานมินิซีรีส์ร่วมกับเยทส์เมื่อปี 2003 “State of Play” ปีต่อมาเขาได้รับรางวัล BAFTA TV Award และ RTS Award สาขา Best Editor จากผลงานทางทีวีกำกับฯ โดยเยทส์ “Sex Traffic” การร่วมงานกับเยทส์ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล RTS และ BAFTA Award สำหรับมินิซีรีส์ “The Way We Live Now” เข้าชิง RTS Award อีกรางวัลจากผลงานทางทีวี “The Young Visiters” และเข้าชิงรางวัล Emmy Award สำหรับภาพยนตร์ทางทีวี “The Girl in the Cafe” เดย์ยังร่วมทีมกับเยทส์ในมินิซีรีส์ “The Sins” และหนังสั้น “Rank”

ล่าสุดเขาลำดับภาพผลงานยอดนิยม “Downton Abbey” ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึงภาพยนตร์ของโจนาธานและจอช เบคเกอร์ “Kin” ภาพยนตร์ของอเล็กซ์ การ์แลนด์ “Ex Machina” ภาพยนตร์ของริชาร์ด เคอร์ทิส “About Time” และภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เรดฟอร์ด “The Company You Keep” เขายังร่วมงานอีกหลายครั้งกับผู้กำกับฯ ท่านอื่น เช่น เดวิด แบลร์ ในเรื่อง “Mystics” และผลงานทางทีวี “Anna Karenina,” “Split Second” และ “Donovan Quick” พอล กรีนกราส ในเรื่อง “The Theory of Flight” และผลงานทางทีวี “The Fix” และผลงานทางทีวีของจอห์น ชเลซิงเกอร์ “The Tale of Sweeney Todd,” “Cold Comfort Farm” และ “A Question of Attribution” 

ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียงเรื่องอื่นของเดย์ รวมถึงโปรเจ็กต์ที่ยาวนานของจูเลียน ฟาริโน “Flesh and Blood,” ภาพยนตร์ของพอล ซีด “Murder Rooms,” ภาพยนตร์ของริชาร์ด ไอร์ “Suddenly Last Summer” และภาพยนตร์ของแจ็ค เคลย์ตัน “Memento Mori” ที่ได้เข้าชิงรางวัล BAFTA TV Award

คอลลีน แอตวูด (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ได้รับรางวัล Academy Awards ถึง 4 รางวัล รางวัลล่าสุดจากการออกแบบในภาพยนตร์ของเดวิด เยทส์ “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ตั้งแต่ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” แอตวูดเพิ่งได้รับรางวัล Oscars จากภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตันปี 2010 เรื่อง “Alice in Wonderland” และภาพยนตร์กำกับฯ โดยร็อบ มาร์แชล  “Memoirs of a Geisha” และ “Chicago” แอตวูดยังเข้าชิงรางวัล Oscar จากผลงานของเธอภาพยนตร์ของรูเพิร์ท แซนเดอร์ส “Snow White and the Huntsman”; ภาพยนตร์ของมาร์แชล “Nine” และ “Into the Woods”; ภาพยนตร์ของเบอร์ตัน “Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street” และ “Sleepy Hollow”; ภาพยนตร์ของแบรด ซิลเบอร์ลิง “Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events”; ภาพยนตร์ของโจนาธาน เดมเม่ “Beloved” และภาพยนตร์ของกิลเลียน อาร์มสตรอง  “Little Women”

ล่าสุดเธอเพิ่งทำงานในภาพยนตร์ของมาร์แชลแนวไลฟ์แอ็คชั่น “The Little Mermaid” กำหนดฉายปีหน้า เธอได้ออกแบบเสื้อผ้าให้ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นของเบอร์ตัน “Dumbo” รวมถึงซีรีส์ยอดนิยม “Wednesday” เกี่ยวกับ  Wednesday Addams ในงาน Nevermore Academy เธอยังร่วมงานกับเบอร์ตันในเรื่อง “Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children,” “Big Eyes,” “Dark Shadows,” “Edward Scissorhands,” “Ed Wood,” “Mars Attacks!,” “Planet of the Apes” และ “Big Fish” 

นอกจากนั้นเธอร่วมงานกับเดมเม่ในภาพยนตร์ได้รับรางวัล Oscar สาขา Best Picture “The Silence of the Lambs,” “Philadelphia” และ “Married to the Mob” ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายเรื่องของเธอยังรวมถึง “Bombshell,” “Tomb Raider,” “Alice Through the Looking Glass,” “The Huntsman: Winter’s War,” “In Time,” “The Rum Diary,” “The Tourist,” “Mission: Impossible III,” “Gattaca,” “That Thing You Do!,” “Wyatt Earp,” “Manhunter” และ “Firstborn” ที่เธอทำหน้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายครั้งแรก

สำหรับผลงานทางทีวี เธอได้ออกแบบเสื้อผ้าให้มินิซีรีส์ทาง Apple/Playtone เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง “Masters of the Air” เธอยังออกแบบผลงานสำคัญ “Batwoman,” “Supergirl,” “The Flash” และ “Arrow” ของ Berlanti Productions

เจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด หนึ่งในผู้ประพันธ์ดนตรีที่มีผลงานมากมายและได้รับเกียรติในวงการภาพยนตร์ เส้นทางอาชีพของเขายาวนานกว่า  35 ปี แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์มาแล้วมากกว่า 140 เรื่องรวมถึงโปรเจ็กต์ทางทีวี เข้าชิงรางวัล Oscar มาแล้ว 9 ครั้ง ได้รับรางวัล Emmy และ Grammy เขาได้รับรางวัล Henry Mancini Award อันทรงเกียรติจาก ASCAP สาขา Lifetime Achievement และ BMI ICON Award

ในฐานะโปรดิวเซอร์ ผู้เรียบเรียงและแต่งเพลง เขาได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น เอลตัน จอห์น; ครอสบี้, สติลส์ แอนด์ แนช; บาร์บรา สไตรแซนด์; เอิร์ธ วินด์ แอนด์ ไฟเออร์; บ็อบ ซีเกอร์; รอด สจ๊วต; โตโต้; เกล็นน์ เฟรย์; ไดอาน่า รอส; คาร์ลี ไซมอน; โอลิเวีย นิวตัน-จอห์น; แรนดี้ นิวแมน; ริคกี้ ลี และ ชาคา คาน

ปี 1985 เขาได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องแรก “Head Office” จนพบเส้นทางของตัวเองอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นได้ร่วมงานในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เช่น “Jungle Cruise,” “News of the World,” “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald,” “The Nutcracker and the Four Realms,” “Red Sparrow, Roman J. Israel, Esq.,” “Detroit,” “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ผลงานทั้ง 4 ตอนของ “The Hunger Games franchise,” “Concussion,” “Nightcrawler” และ “Maleficent” ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขามากมาย เช่น “Snow White and the Huntsman,” “The Bourne Legacy,” “Salt,” “Water For Elephants,” “Batman Begins,” “Collateral,” “Snow Falling on Cedars,” “Outbreak,” “The Village,” “Hidalgo,” “Peter Pan,” “Wyatt Earp,” “Lady in the Water,” “The Sixth Sense,” “Unbreakable,” “Freedomland,” “Dinosaur,” “Treasure Planet,” “Signs,” “Falling Down,” “Primal Fear,” “Glengarry Glen Ross,” “Waterworld,” “The Devil’s Advocate,” “Dave” และ “Pretty Woman” รวมถึงผลงานอีกหลายเรื่อง

ปี 2017 เขาเพิ่งจบไลฟ์คอนเสิร์ตทัวร์แรก 3 Decades of Music for Hollywood ได้เดินทาง 15 เมืองในยุโรป พร้อมกับการแสดงที่ Royal Albert Hall

นอกจากการร่วมงานในภาพยนตร์ ผลงานทางทีวี เขายังมีผลงานทางคอนเสิร์ตอีกมากมาย ได้แต่งเพลงให้กับ Pacific Symphony: “I Would Plant a Tree” แสดงครั้งแรกปี 2009 และ “Concerto for Violin and Orchestra” แสดงครั้งแรกปี 2015 ร่วมงานนักไวโอลินชื่อดัง เจมส์ เอห์เนส เขายังแต่งเพลงให้กับผลงานของฮาลารี่ ฮาห์น 27 Pieces: The Hilary Hahn Encores, entitled “133 . . . At Least” ผลงานของเขาขึ้นชื่อว่า “ก้าวมาถึงอีกระดับใหม่” แสดงครั้งแรกในปี 2018 โดย Seattle Chamber Music Society ที่เจมส์ อาห์เนสเป็นนักไวโอลินและผู้ควบคุมศิลปิน ล่าสุด “Concerto for Cello and Orchestra” ของเขาจัดแสดงร่วมกับ Los Angeles Chamber Orchestra

คริสเตียน แมนซ์ (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์) ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่มีประสบการณ์ทางสายงานมานานกว่า 25 ปี ทำหน้าที่ครีเอทีฟไดเรคเตอร์แห่ง Framestore, Film. เขาได้เข้าชิงรางวัล Oscar และ BAFTA Award ในฐานะสมาชิกทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์จากเรื่อง “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1” เขาร่วมงานกับทิม เบิร์ค ในฐานะผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์ของเดวิด เยทส์ “Fantastic Beasts and Where to Find Them” พวกเขาได้เข้าชิงรางวัล BAFTA และ Visual Effects Society (VES) Awards สาขา Best Visual Effects ต่อด้วย “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald” ที่ได้เข้าชิงรางวัล BAFTA Award สาขาเดียวกัน

ปี 2013 เขาเป็นผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์ของคาร์ล ริช “47 Ronin” และทำหน้าที่เดียวกันในภาพยนตร์ของแกรี่ ชอร์ “Dracula Untold”

โปรเจ็กต์เหล่านี้ต่อจากผลงานของแมนซ์ที่ Framestore ในเรื่อง “Harry Potter and the Prisoner of Azkaban” และ “Harry Potter and the Goblet of Fire” รวมถึงเรื่อง “Nanny McPhee,” “The Golden Compass” และ “The Chronicles of Narnia: Prince Caspian”

แมนซ์ศึกษาด้านการแสดงภาพประกอบที่ Kingston University ก่อนจะมาร่วมงานกับ Framestore เมื่อปี  1997 เขาร่วมงานทั้งทางทีวีและภาพยนตร์ ได้รับรางวัล VES Awards จากการร่วมงานในผลงานของ Hallmark เรื่อง “Dinotopia” และผลงานทาง BBC เรื่อง “Space Odyssey: Voyage to the Planets” เขายังได้เข้าชิงรางวัล Emmy จากเรื่อง “Dragons: A Fantasy Made Real”

ในฐานะของผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เขาเคยร่วมงานในรายการทางทีวีมากมาย รวมถึง “Spooks” ทาง Kudos/BBC และผลงานทาง ITV เรื่อง “Primeval” ที่เขาเข้าชิงรางวัล BAFTA TV Awards 2 ครั้งติดต่อกัน

Facebook Comments
ติดต่อ Maganetthailand.com
Don`t copy text!