Godzilla vs. Kong

Godzilla vs. Kong

ประเภท: Action, Sci-Fi, Thriller
ความยาว: 113 นาที
ผู้กำกับ: Adam Wingard
เขียนบท: Eric Pearson, Max Borenstein
นักแสดง: Alexander Skarsgård, Millie Bobby Brown, Rebecca Hall

ฝ่ายหนึ่งต้องพ่ายแพ้

ผลงานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์สและเลเจนดารี่ พิกเจอร์ส สู่ภาพยนตร์แนวผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ที่มีการเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน เพื่อพบการเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 ตัวละครดังในเรื่อง “Godzilla vs. Kong” กำกับฯ โดยอดัม วินการ์ด

เรื่องราวการปะทะกันในเรื่อง “Godzilla vs. Kong” ระหว่างคู่ต่อสู้แห่งตำนานที่ต่อสู้กันอย่างน่าตื่นเต้นมาย่างยาวนาน โดยมีชะตากรรมของโลกแขวนอยู่บนเส้นขนาน คองและผู้ดูแลของเขาสัญญากันว่าจะยอมผจญภัยเสี่ยงตายเพื่อหาบ้านที่แท้จริงของเขา โดยมี จีอา สาวน้อยเด็กกำพร้าร่วมทางไปกับพวกเขาจนเกิดความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นและไม่เหมือนใคร แต่พวกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับก็อตซิล่าที่กำลังคุ้มคลั่ง ปล่อยรัศมีการทำลายล้างกระจายไปทั่วโลก การปะทะกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่เกิดจากพลังที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปริศนาที่ซ่อนอยู่ในใจกลางของโลก

ภาพยนตร์นำแสดงโดยอเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด (“Big Little Lies,” “The Little Drummer Girl”), มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (“Stranger Things”), รีเบ็คก้า ฮอล (“Christine,” “Professor Marston and the Wonder Women”), ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ (“Joker,” “Spider-Man: Into the Spider-Verse”), ชุน โอกูริ (“Weathering with You”), ไอซ่า กอนซาเลซ (“Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw”), จูเลียน เดนนิสัน (“Deadpool 2”) ร่วมด้วยไคล์ แชนด์เลอร์  (“Godzilla: King of the Monsters”) และเดเมียน บิเชอร์  (“The Nun,” “The Hateful Eight”)

วินการ์ด (“The Guest,” “You’re Next”) กำกับฯ จากบทภาพยนตร์ของอีริค เพียร์สัน (“Thor: Ragnarok”) และแม็กซ์ โบเรนสเตน (“Godzilla: King of the Monsters,” “Kong: Skull Island”) เนื้อเรื่องโดยเทอร์รี่ รอสซิโอ (“Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales”) และไมเคิล ดั๊กเฮอร์ตี้ และ แซค ชีลด์ส (“Godzilla: King of the Monsters”) สร้างอิงจากตัวละคร “ก็อตซิล่า” ผลิตและเป็นเจ้าของโดย TOHO CO., LTD. ภาพยนตร์อำนวยการสร้างฯ โดยแมรี่ แพเรนท์, อเล็กซ์ การ์เซีย, อีริค แม็คเลียด, จอน แจชนี่, โธมัส ทุล และ ไบรอัน โรเจอร์ส อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยเจย์ อาเชนเฟลเตอร์, เฮอร์เบิร์ท ดับบลิว. เกนส์, แดน ลิน, รอย ลี, โยชิมิตสึ บันโน และ เคนจิ โอคุฮิระ

ทีมงานเบื้องหลังของผู้กำกับฯ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ เบ็น เซเรซิน (“The Mummy,” “World War Z”) ผู้ออกแบบฉาก โอเวน พาเทอร์สัน  (“Jumanji: Welcome to the Jungle,” “Godzilla”) และโธมัส เอส. แฮมม็อค (“Blair Witch”) ลำดับภาพโดย จอช ชาเอเฟอร์ (“Godzilla: King of the Monsters”) ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย แอนน์ โฟลีย์ (“Skyscraper”) และผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ จอห์น “ดีเจ” เดสจาร์ดิน (ผลงานที่กำลังจะฉาย “Zack Snyder’s Justice League”)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก a Legendary Pictures Production, A Film By Adam Wingard เรื่อง “Godzilla vs. Kong”

www.GodzillavsKong.net

รายละเอียดการถ่ายทำ

เราต้องการคอง โลกต้องการเขา… เพื่อหยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะมาถึง”

นาธาน ลินด์, โมนาร์ช

            เป็นเวลานานหลายทศวรรษที่ยักษ์ใหญ่ในภาพยนตร์อย่างก็อดซิลล่าและคองต่างมีเส้นทางของตัวเอง มีการผจญภัยบนจอยักษ์แยกจากกัน… จนมาถึงตอนนี้ “Godzilla vs. Kong” เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่มีความยิ่งใหญ่เท่าสัตว์ประหลาด มาพร้อมความอบอุ่น เสียงหัวเราะ และฉากแอ็คชั่นที่อัดแน่นเต็มที่ นี่คือการแข่งขันที่ยาวนานมาหลายยุคจนมาถึงการผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ที่ขยายอาณาจักรไปทั่วโลก เป็นการนำสองขั้วอำนาจแห่งธรรมชาติที่มีพลังมากกว่าเดิมมาเผชิญหน้ากัน และปะทะกันหมัดต่อหมัดบนพื้นโลกและท้องทะเล เพื่อทวงสมดุลคืนสู่โลก

ผู้กำกับฯ อดัม วินการ์ด เล่าว่า “ก็อดซิลล่าและคองต่างมีตำนานอันน่าทึ่งในภาพยนตร์ เริ่มแรกเราอาจมองว่าพวกเขาเป็นสัตว์ปะรหลาดจากฝั่งตะวันออกและตะวันตก ก็อดซิลล่าโจมตีโตเกียว ส่วนคองเดินทางสู่นิวยอร์คโดยชายคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าคุณจะเข้าใจพวกเขาในรูปแบบไหน พวกเขาคือไอคอนในหนังที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมทั่วโลกได้”

และผู้ชมทุกยุคสมัย “ผมจำตอนเป็นเด็กได้ว่าเคยคุยกับเพื่อนว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ระหว่างคิงคองกับก็อดซิลล่า” วินการ์ดหัวเราะ “ในความเป็นจริงแล้วการกำกับเรื่องนี้เริ่มจากการหาข้ออ้างที่จะเหมาะสำหรับการกลับไปหาก็อดซิลล่าและคอง นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิดในตอนที่เริ่มคุยกับเลเจนดารี่ถึงความเป็นไปได้ และมันกลายเป็นแรงจูงใจในการทำหนังเรื่องนี้ของผมขึ้นมาแบบทั่วไป จากจุดเริ่มแรกก็อดซิลล่าพลิกจากวายร้ายมาเป็นฝ่ายดี และกลับมาเป็นวายร้ายอีกครั้ง ผมคิดว่านั่นเป็นวิวัฒนาการที่น่าสนใจดีของทั้งก็อดซิลล่าและคอง ซึ่งจะมีอะไรบ้างที่ทำให้เรื่องราวที่เราอยากเล่าเกี่ยวกับพวกเขามีความสดใสและแปลกใหม่”

ผู้อำนวยการสร้างฯ แมรี่ พาเรนท์ รู้ว่าเรื่องราวนี้คือการจับคู่สิ่งที่แฟนๆ เฝ้ารอกับสิ่งที่จะสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเคยดูหนังภาคก่อนมาแล้วหรือไม่ก็ตาม “เรามีทั้งก็อดซิลล่าและคองมาต่อสู้กันเพื่อความอยู่รอดและดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเอง  การนำพวกเขามาเจอกันในสังเวียนแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทจึงเหมือนอีกขั้นของธรรมชาติ” เธอเล่าต่อว่า “แต่เรื่องนี้ก็มีเรื่องราวของตัวเองด้วย แยกตัวเป็นอิสระจากหนังภาคก่อนๆ ทั้งคู่คือสิ่งมีชีวิตที่มีความยิ่งใหญ่ มีความฉลาดและความเห็นใจ ส่วนตัวละครมนุษย์ต่างพากันต่อสู้เพื่อพวกเขาอย่างกล้าหาญเพื่อช่วยพวกเขา เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เรื่องราวในอดีตเพื่อนำทางพวกเขาสู่การผจญภัยครั้งใหม่เลย” และไม่ว่าคุณจะอินกับคองหรือก็อดซิลล่าก็ตาม เธอเล่าว่า “มันคือสิ่งที่ทำให้คุณเพลิดเพลินกับป๊อปคอร์นและสนุกไปกับหนัง”

ในหนังไม่ได้มีแค่การต่อสู้ที่เข้มข้นระหว่างสองยักษ์ใหญ่ แต่ยังมีทั้งเรื่องสะเทือนใจ เรียกเสียงหัวเราะ และเรื่องราวลึกลับ วินการ์ดเล่ารายละเอียดว่า “เรื่องราวเริ่มจากจุดที่มนุษย์ยอมรับก็อดซิลล่าในฐานะของผู้ช่วยชีวิตหรือผู้ปกป้อง จากนั้นเราค่อยๆ พลิกเรื่องราว แสดงให้เห็นถึงความแปลกที่เกิดขึ้นกับเขา เขาออกโจมตีและดูไม่สนใจอะไร ซึ่งไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเพราะอะไร”

และเขามุ่งหน้าตรงไปหาคองที่ได้รับอิสรภาพจาก Skull Island หลังพิสูจน์แล้วว่าดินแดนอันโดดเดี่ยวแห่งนั้นไม่สามารถทำให้เขาอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป

อเล็กซ์ การ์เซีย ผู้อำนวยการสร้างฯ ร่วมกับแพเรนท์, เอริค แม็ดเลียด, จอน แจชนี่, โธมัส ทุล และ ไบรอัน โรเจอร์ส ได้เล่าว่า “สำหรับหนังสัตว์ประหลาดสู้กัน เรามักจะตามหาผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความชอบและเข้าใจในสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ รวมถึงตำนานของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง ผู้เล่าเรื่องราวที่รู้ดีว่าทำไมคองและก็อดซิลล่ายังคงครองใจผู้ชมมานานแสนนาน แต่ต้องเป็นคนที่มีความตื่นเต้นกับการสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้พวกเขาด้วย อดัมมีวิชวลสไตล์ที่โดดเด่น และสิ่งที่เขากับผู้เขียนบทฯ ได้ฝากผลงานไว้ในหนังเรื่องนี้ ทั้งเรื่องราวที่มีลูกเล่นและความงดงามต่างๆ มันออกมาดูมีชีวิตชีวามาก”

บทภาพยนตร์เป็นผลงานของเอริค เพียร์สัน และ แม็กซ์ โบเรนสเตน สร้างอิงจากเรื่องราวของเทอร์รรี่ รอสซิโอ และเรื่องราวใน “Godzilla: King of the Monsters” ของไมเคิล ดักเฮอร์ตี้ และ แซ็ค ชีล์ด รอสซิโอเล่าให้ฟังว่า “ถือเป็นเกียรติที่ได้รับผิดชอบสองตัวละครเด่นของโลกแห่งภาพยนตร์ และได้ออกแบบให้หนังที่ทั้งคู่มาเผชิญหน้ากัน หลายเรื่องราวในหนังที่ผ่านมาเกิดการปะทะกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่นี้เมื่อมาเจอหน้ากัน เรารู้มาตลอดว่ามันต้องเป็นภาพที่น่าตื่นเต้น แต่เพื่อเป็นการยกย่องในผู้บริหารและผู้อำนวยการสร้างแห่งเลเจนดารี่ เราเลยต้องใช้เวลาพัฒนาเรื่องราว มีการร่วมงานกับนักเขียนหลายคน เพื่อให้แน่ใจว่าในหนังจะสะท้อนถึงมิตรภาพระหว่างตัวละคร ประเด็นต่างๆ ที่ทั่วโลกเข้าใจได้ และความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากใจอย่างแท้จริง”

ก็อดซิลล่าอยู่นั่น กำลังทำร้ายผู้คนอยู่ ไม่รู้เพราะอะไร

มาร์ค รัสเซล, โมนาร์ช

มีบางอย่างไปกระตุ้นเขาโดยที่เรามองไม่เห็นจากตรงนี้

– แมดิสัน รัสเซล

ก็อดซิลล่า นักล่าขนาดสูงใหญ่ที่ตื่นขึ้นมาจากการที่มนุษย์ใช้ธาตุแห่งอาวุธสงคราม จนกลายมาเป็นผู้ปกป้องธรรมชาติและโลกมนุษย์ที่มีความดุร้าย ลมหายใจอันมีพลังและเสียงคำรามที่ดังกึกก้องของเขา เมื่อรวมเข้ากับความแข็งแกร่งเยี่ยงสัตว์ป่าบนผืนดินและใต้น้ำ ทำให้เขากลายเป็นผู้รอดชีวิตจากเหล่าเพชฌฆาตทรงพลังทั้งหลาย เช่น ศัตรูตัวสำคัญที่มี 3 หัวอย่างไกโดราห์

            แต่ในเรื่อง “Godzilla vs. Kong” ก็อดซิลล่าไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไรที่จะกระตุ้นการโจมตีจากศัตรูทรงพลังอย่างคองได้ แต่อาจได้แรงยั่วยุมาจากพลังที่มองไม่เห็น…

            “ภาพยนตร์เลือกเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับภาคที่แล้ว มันเลยมีอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับก็อดซิลล่าที่เราทิ้งท้ายเอาไว้” วินการ์ดกล่าว “แต่เขามีท่าทีแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่โมนาร์ช รวมถึงแมดิสัน รัสเซลและอีกหลายคนพยายามหาคำตอบว่าทำไมเขาถึงหันหลังให้มนุษย์ ความจริงคือมันจะดีมากหากก็อดซิลล่าอยู่เคียงข้างเรา แต่เมื่อเขาหันมาเป็นศัตรูกับเรา เรากำลังเผชิญปัญหาใหญ่แล้วล่ะ”

ใครเป็นรองใคร?”

แอดไมรัล วิลค็อกซ์

คองไม่เคยเป็นรองใคร

– ไอลีน แอนดรูว์ส, โมนาร์ช

คอง

หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความกล้าหาญและเผชิญความรุนแรงมานานหลายทศวรรษ คองได้ใช้ชีวิตและเรียนรู้จากเหล่านักวิทยาศาสตร์บนเกาะ Skull Island ที่ไม่คุ้นเคย เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป แต่อยู่ในวัยโตเต็มตัว มีขนาดใหญ่ขึ้น กล้าหาญขึ้น และบ้าพลังกว่าเดิม 

คองในเรื่องนี้จะดูมีขนาดใหญ่ยักษ์กว่าที่เคยเห็นบนหน้าจอมาก่อน แต่ยังคงมีความผูกพันกับมนุษย์เหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งครั้งนี้คือเด็กสาวกำพร้าบนเกาะกะโหลกซึ่งเปรียบเสมือนสายพันธุ์สุดท้าย เธอมีชื่อว่าเจีย

“หนังเรื่องนี้คองได้สำรวจเรื่องราวประวัติศาสตร์ของตัวเอง ต้นกำเนิดของเขา มันมีเรื่องของการค้นพบเรื่องราว” วินการ์ดกล่าว “และมันเหมือนการเปิดประตูหลายบานให้เห็นว่ามีอะไรรอตัวละครอยู่บ้าง”

เพราะคองและก็อดซิลล่าต่างมีความเมตตาเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่แค่ด้านการแสดงออกเพียงอย่างเดียว (และโดยผู้ชำนาญที่มีฝีมือและสาวๆ ผู้เรนเดอร์พวกเขาผ่านสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ที่น่าตื่นตา) แต่ยังรวมถึงนิสัยใจคอของตัวละครในเรื่อง ที่ต้องมั่นใจเรื่องความอยู่รอดและความปลอดภัย ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นฮีโร่หรือวายร้าย ทุกอย่างล้วนเป็นที่จับตามองจากผู้ชม

นั่นคือประเด็นสำคัญที่วินการ์ดให้คำมั่นเอาไว้ว่า “นี่คือหนังสัตว์ปะรหลาดฟอร์มยักษ์ ที่ไม่ได้มีเพียงตัวละครสำคัญเพียงตัวเดียว แต่มีถึงสองตัวในประวัติศาสตร์หนังการต่อสู้กัน ซึ่งทั้งคู่เป็นตัวละครฝ่ายดี หรืออาจจะไม่ดีขึ้นอยู่ที่คุณจะมองอย่างไร ความสนุกอยู่ที่การได้เห็นว่าผู้ชมอินกับฝ่ายไหน และได้เห็นปฏิกิริยาของพวกเขาเวลาที่รู้ว่าใครเหนือกว่ากัน!”

จีอา สาวน้อยเด็กกำพร้า

เด็กผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นคนเดียวที่เขาจะสื่อสารด้วย

นาธาน ลินด์, โมนาร์ช

ฉันรู้ว่าพวกเขาผูกพันกันฉันสัญญาไว้ว่าจะปกป้องเธอ

และฉันคิดว่าคองก็ทำแบบนั้น

– ไอลีน แอนดรูว์ส, โมนาร์ช

นักแสดงและตัวละคร

ในการช่วยเชื่อมเรื่องราวของสองยักษ์ใหญ่เข้าด้วยกัน ผู้สร้างภาพยนตร์ได้เลือกตัวนักแสดงที่มีความโดดเด่นมารวมตัวกัน เพื่อมารับบทบาทตัวละครโปรดจากแฟรนไชส์ผสมกับตัวละครใหม่ๆ มีการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและความผูกพันสู่ก็อดซิลล่า ตัวละครที่ผู้ชมเคยเห็นการต่อสู้ในสมัยใหม่ กับคองที่เคยเห็นในช่วงยุคหลังสงครามเวียดนาม โดยมีองค์กรโมนาร์ชทำหน้าที่ปกป้องสวัสดิภาพของทั้งคู่ รวมถึงมีกองกำลังนอกพื้นที่ปฏิบัติงานด้วย เนื้อเรื่องมีทั้งประเด็นสำคัญเดิมและความเสี่ยงส่วนตัวที่เพิ่มมากขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย

สำหรับสภาพ Skull Island ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์แห่งโมนาร์ชที่ยังคงทำการศึกษและควบคุมสวัสดิภาพของคองได้สร้างโดมชีวภาพขนาดใหญ่ขึ้นมา เพื่อความอุ่นใจด้านความปลอดภัยสำหรับเขา จากสภาพบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงและอาจส่งผลต่อระบบธรรมชาติโดยรอบ น่าเสียดายที่คองไม่ได้มีเพียงขนาดตัวที่ใหญ่ แต่ความฉลาดของเขาก็สูงมากด้วย จึงไม่พร้อมอยู่ภายใต้สภาพบรรยากาศที่มีกล้องหลายตัวที่พวกเขาติดตั้งเอาไว้ คองเติบโตเต็มที่และมีพลังมากกว่าเดิม ตอนนี้เขากำลังพยายามจะหลุดออกจากพื้นที่สังเกตการณ์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาให้ได้

ผู้เดินทางมาเยือนจากโมนาร์ชอย่างนาธาน ลินด์ หัวหน้านักธรณีวิทยาและนักทำแผนที่ลึกลับได้คิดวิธีแก้ปัญหาหากเขาโน้มน้าวให้เพื่อนร่วมงานเดินทางมาด้วยได้ ลินด์ปฏิบัติภารกิจของเขาด้วยความหลงใหล ตามประสาคนที่มีความเข้าใจว่ามันใกล้กับการสูญพันธุ์ของมนุษย์มากขนาดไหนบวกด้วยแรงกระตุ้นจากทฤษฎีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เขาวางแผนภารกิจอันกล้าหาญที่ดูเป็นไปไม่ได้ และเผชิญหน้ากับอันตรายที่คาดไม่ถึงมาก่อน คือการส่งคองไปอยู่ในที่ๆ เขาไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างตำนานอันเล่าขานของฮอลโลว์เอิร์ธและจะมีการรวบรวมสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ยังมีอยู่อย่างก็อดซิลล่ามาอยู่ในแผนเดียวกัน โดยทั้งหมดนี้ตั้งความหวังไว้ว่าโลกใบนั้นจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเขา และทำให้พวกเขาคิดวาที่นั่นคือบ้านที่อยู่แต่แรกจริงๆ

อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ดรับบทลินด์ ผู้ที่ดูเหมือนเป็นทั้งฮีโร่และคนคลั่งไคล้เรื่องวิทยาศาสตร์ “นาธานเป็นบทที่เล่นแล้วสนุกครับ เพราะเขาเป็นคนเข้มแข็ง หรือเป็นทหารเก่า หรือเป็นคนที่เราหวังว่าจะได้พบในภารกิจเสี่ยงตาย เขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าการเดิมพันสูงแค่ไหน และก็มีความกระตือรือร้นมาก”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ซาร์สการ์ดสนใจบทนี้ เขาเล่าว่า “มันมีอะไรมากกว่าฝ่ายดีสู้กับฝ่ายร้าย เพราะคองกับก็อดซิลล่าไม่ดีหรือร้ายทั้งนั้น พวกเขาคือที่สุดแห่งนักล่า แตไม่ใช่สัตว์ที่มีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ทั่วไป เหตุผลหนึ่งที่พวกเขามาตามล่ากันเพราะทั้งคู่คือที่หนึ่ง และจะมีได้แค่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

ซาร์สการ์ดยังมีความตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ วินการ์ดอีกด้วย “อดัมเป็นคนที่น่ารักมากครับ ผมเคยเจอเขาเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว เราได้คุยกันอย่างสนุกสนานและผมคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจมาก เขาคือคนที่คลั่งไคล้โลกของภาพยนตร์ตัวจริง”

“อเล็กซ์มีความน่าทึ่งมากเพราะเขาแสดงทุกอย่างผ่านท่าทางได้หมด แต่เขารู้ดีว่าหนังเรื่องนี้ต้องการนักแสดงแอ็คชั่นด้วย แต่ไม่มีใครอยากให้เขาทำเหมือนเป็นนักแสดงแอ็คชั่นแบบเดิมๆ” วินการ์ดกล่าว “เราอยากให้นาธานดูมีจุดอ่อน และดูเนิร์ดในหลายๆ อย่าง ซึ่งเรารู้ว่าอเล็กซ์แสดงความเป็นแอ็คชั่นฮีโร่ออกมาได้ และนำคุณสมบัตินั้นมารวมกับบุคลิกด้านอื่น ซึ่งมันออกมาเยี่ยมมากครับ”

หน้าที่ของนาธานคือโน้มน้าวให้ทีมงานลงพื้นที่ของคองพาเขาออกไปจากบ้านหลังเดียวที่เขารู้จัก สู่การผจญภัยเสี่ยงตายสู่บ้านสมัยบรรพบุรุษของเขา สถานที่ๆ ยักษ์ใหญ่อย่างเขาอาจกำเนิดขึ้น นั่นทำให้ ดร.ไอลีน แอนดรูว์ นักภาษาศาสตร์มานุษยวิทยาแห่งโมนาร์ชต้องเข้ามาร่วมงานด้วย แอนดรูว์เป็นผู้ชำนาญเรื่องเกี่ยวกับคองหลังจากที่ใช้เวลาหลายปีบนเกาะ Skull Island เพื่อศึกษาพฤติกรรมของเขาในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ สำหรับยักษ์ใหญ่แล้วเวลากำลังจะหมดลง แอนดรูว์ต้องเผชิญกับทางเลือกจำกัดเพื่อเก็บคงไว้บน Skull Island และความเสี่ยงสูญพันธุ์ หรือเธอจะใช้ทักษะความรู้ที่เธอมีช่วยลินด์ทำลายเขา และยังมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์หากแผนการล้มเหลวอีกด้วย

รีเบ็คก้า ฮอลล์ รับบท ดร.แอนดรูว์

รีเบ็คก้า ฮอลล์ รับบท ดร.แอนดรูว์ เล่าว่า “มีบางอย่างที่ดึงดูดฉันในเรื่องนี้ค่ะ” เธอเล่าว่า “ฉันค่อนข้างจะดูเนิร์ดเวลาเป็นหนังที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ช่วงแรกฉันจะศึกษาข้อมูลเยอะมากก่อนเริ่มงาน และก็เป็นอะไรที่สนุกดี สิ่งหนึ่งที่พบคือในหนังคิงคองหลายเรื่อง จะมีสาวสวยคนหนึ่งที่เขาอยากช่วยชีวิต แต่ฉันพบว่าความน่าสนใจในเรื่องนี้คือคนที่คองอยากติดต่อสื่อสารด้วยกลับเป็นเด็กผู้หญิงหูหนวกตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งนั่นคือเคย์ลีที่เป็นคนหูหนวกและต้องมารับบทนั้น ฉันคิดว่ามันมีความน่าสนใจมากและดูสมเหตุสมผลดี ตัวละครของฉันเกี่ยวข้องกับทั้งคู่ค่ะ เธอเป็นเหมือนแม่ของเคย์ลีและเป็นนักค้นคว้าเหมือนเจน กูดัล การรับบทคู่กับเคย์ลีทำให้ฉันมีโอกาสได้เรียนรู้ภาษามือ ซึ่งฉันชอบมากเลยค่ะ เวลามีบทที่ทำให้ฉันต้องเรียนรู้อะไรบางอย่างที่ต่าจากตัวเอง มักจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสนใจและตื่นเต้นกับมันมากเสมอค่ะ”      

Godzilla

ฮอลล์ยังมีการพัฒนามิตรภาพเบื้องหลังหน้าจอกับฮอทเทิลด้วยเช่นกัน “อย่างแรกเลยคือเคย์ลีเป็นนักแสดงที่เก่งมากค่ะ” ฮอลล์กล่าว “หนังเรืองนี้เป็นครั้งแรกที่เธอต้องแสดงอะไรแบบนี้ และเธอมีทั้งไหวพริบ ความฉลาด อย่างที่เราต้องการในบรรยากาศแบบนั้น และเธอมีพรสวรรค์มากด้วยค่ะ ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้ร่วมงานกับเธอในฐานะนักแสดง เพราะเธอทุ่มเทในแต่ละฉากมาก และฉันรู้สึกว่าเธอทั้งสนุกและมีความสุขเวลาอยู่ด้วยค่ะ เธอช่วยสอนภาษามือให้ฉันอย่างใจเย็นมาก จนสุดท้ายเธอก็รู้ว่าฉันไม่เก่งเอาซะเลย” ฮอลล์หัวเราะ “และเธอไม่มีปัญหาในการบอกฉันเรื่องนั้นเลยค่ะ เรามีเกมเล่นด้วยกันทุกวัน โดยเราจะเดินไปรอบๆ และชี้ข้าวของต่างๆ ในฉาก จากนั้นเธอจะบอกเป็นสัญลักษณ์ หลังจากนั้นอีกหนึ่งวันเธอจะชี้ไปที่นั่นอย่างรวดเร็วและถามฉันว่า ‘มาเร็ว นั่นสัญลักษณ์อะไร? เร็วๆๆ’ แน่นอนว่าฉันมักจะอยู่ในอาการ ‘เอ่อ…’

ฮอลล์ยังมีอีกเกมที่ฮอทเทิลมีส่วนร่วมด้วย “มีการจับเวลาเพื่อดูว่าฉันจะใช้สัญลักษณ์แทนตัวอักษรได้เร็วขนาดไหน ซึ่งเธอสามารถทำได้ภายใน 7 วินาที หรืออาจจะน้อยกว่านั้นนะคะ ฉันทำเวลาได้ดีสุดราว 25 พอเทียบกันแล้วอ่อนมากเลย”

วินการ์ดเล่าว่ามิตรภาพในฉากกับนักแสดงมีส่วนช่วยส่งต่อถึงตอนเข้าฉากร่วมกัน “รีเบ็คก้าถ่ายทอดความลึกซึ้งของตัวไอลีนลงไปเยอะมากค่ะ ทั้งในฐานะของนักภาษาศาสตร์ และแม่บุญธรรมของเจีย ฉันคิดว่ามีหลายอารมณ์ที่ส่งผ่านถึงคุณได้ในหนัง จากเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันเพื่อทำความรู้จักและสร้างความผูกพันขึ้นมา”

ในหนังนักแสดงหน้าใหม่อย่างฮอทเทิลรับบทมนุษย์เพียงคนเดียวที่ผูกพันกับคอง และเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่หวาดกลัวลิงยักษ์ขนาด 300 ฟุต เจียตัวน้อยเป็นสมาชิกของเผาและวีบนเกาะกะโหลก แอนดรูว์รับเลี้ยงเธอหลังจากที่พ่อแม่ของเธอโดนสกอลโครว์เลอร์ฆ่าตาย

วินการ์ดเล่าว่าไม่ต่างจากฮอลล์ “โดยปกติแล้วคิงคองจะผูกพันกับตัวละครนำหญฺง ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสนใจและยิ่งทำให้ฉันสงสารเขา จนเราอยากออกแรงช่วยในเรื่องนี้ เราต้องการตัวละครที่มีความผูกพันกับคองเป็นพิเศษ ฉะนั้นการที่เจียไม่ได้ยินอะไรเลย ใช้การสื่อสารด้วยภาษามือเหมือนวิวัฒนาการใหม่ที่เราใช้ได้กับคอง ซึ่งเป็นตัวละครที่มองว่ามีความฉลาดมาก เพราะพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย คองเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทของเธอ และเราเรียนรู้มาว่าเธอสอนให้เขาเข้าใจภาษามือเพื่อสื่อสารกับเธอ”

การ์เซียเล่าว่า “การหาเด็กผู้หญิงที่เหมาะจะมารับบทเจีย ถือเป็นความท้าทายมาก เราต้องทิ้งช่องทางการคัดเลือกนักแสดงแบบเดิมๆ และเคย์ลีคือความโชคดีของเราสำหรับการคัดตัวนักแสดง เธอไม่เคยแสดงหนังมาก่อนด้วย แต่ด้วยระบบเครือข่ายการคัดเลือกนักแสดงของผู้กำกับฯ และภาพยนตร์ ทำให้ผู้กำกับนักแสดงยอดฝีมือของเรา ซาราห์ ฮอลลีย์ ฟินน์ สามารถหาตัวเธอได้ และช่วงเวลาที่เราได้พบกับเคย์ลี เรารู้ทันทีว่าเธอคือคนที่ใช่สำหรับบทนี้”

วินการ์ดเห็นด้วยว่า “คุณเดาไม่ออกหรอกว่านี่คือหนังเรื่องแรกของเธอ เคย์ลีคือหนึ่งในนักแสดงที่เป็นมืออาชีพมากเท่าที่เคยร่วมงานมาเลย”

ฮอทเทิลสนุกกับประสบการณ์ด้านภาพยนตร์ครั้งแรกของเธอ โดยเล่าว่า “ฉันชอบการอยู่ในฉากและเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังหนังฉากนั้นเป็นอย่างไร” แต่ฉันไม่เคยดูหนังก็อดซิลล่าหรือคองมาก่อนเลย “ฉันไม่รู้เลยว่าก็อดซิลล่ากับคิงคองใช้กรีนสกรีนช่วยมาโดยตลอด”

เมื่ออธิบายถึงบทเจีย ฮอทเทิลเล่าว่า “เธอมาจาก Skull Island ค่ะ เธอกับคองเป็นเพื่อนซี้กัน” เธอยังยืนยันความรู้สึกของเจียที่มีต่อไอลีน แอนดรูว์ ตัวละครของฮอลล์อีกด้วยว่า “เธอเหมือนกับแม่ที่คอยดูแลฉันค่ะ”

Godzilla vs. Kong

นอกจากการเรียนรู้ภาษามือจากฮอทเทิลแล้ว ฮอลล์เล่าว่าช่วงระหว่างพัก เธอเห็นว่าฮอทเทิลสนใจเรื่องมายากล และการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วคือสิ่งที่ทำให้นักมายากลอย่างพวกเขาสนุกสนานกันมาก” “ฉันเล่นมายากลได้นะคะ” นักแสดงสาวแอบกล่าวยืนยัน

ในการถ่ายทำเรื่องนี้ทำให้เธอได้เดินทางไปออสเตรเลียเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งที่นั่นเธอได้พบกับสิ่งมีชีวิตตัวจริงอีกมากมาย แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าเพื่อนนักแสดงขนาดยักษ์ของเธอก็ตาม “เราไปดูโคอาล่าและจิงโจ้ด้วย”  เธอกล่าว และเล่าว่าเธอได้อุ้มโคอาล่าด้วย “พวกมันเป็นสัตว์ที่ฉันชอบมากเลยค่ะ”

เจียร่วมมือกับ ดร.แอนดรูว์ส ลินด์ และทีมงานจำนวนมากเพื่อขนส่งคองทางเครื่องบินขนาดใหญ่ผ่านท้องทะเล แม้แต่ผู้บริหารแห่งโมนาร์ชที่รับบทโดยแลนซ์ แรดดิคยังร่วมเดินทาง เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าไม่ได้อยู่ที่นั่นเพียงลำพัง ยังมีก็อดซิลล่าที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนเพิ่งต่อสู้กับโรดันและกิโดราห์ พยายามซ่อนตัวไม่ให้เป็นที่สนใจ ตอนนี้มันกลับมาและกำลังจะมุ่งหน้ามาหาพวกเขา

“อีกครึ่งหนึ่งของการผจญภัยเป็นการสำรวจก็อดซิลล่าที่ตื่นขึ้นมาใหม่” วินการ์ดกลาว “และนั่นเป็นเรื่องที่ผู้สนับสนุนก็อดซิลล่าระดับแถวหน้าให้ความสนใจขึ้นทันที เธอเป็นคนเดียวที่โน้มน้าวว่าเขาไม่ใช่วายร้าย แต่เพียงแค่ถูกเข้าใจผิด ซึ่งเธอคือแมดิสัน รัสเซล”

มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ ผู้เคยรับบทนักกิจกรรมคนสำคัญในเรื่อง “Godzilla” จนพัฒนามาอีกขั้นในเรื่อง  “Godzilla: King of the Monsters กลับมารับบทผู้นำของทีมก็อดซิลล่า เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับลิงขนาดยักษ์ ตอนนี้นักแสดงหญิงกลายเป็นผู้คลั่งไคล้เรื่องก็อดซิลล่าไปแล้ว และเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับฯ ด้วยเช่นกัน “ฉันรักการร่วมงานกับอดัมค่ะ” เธอกล่าว “เขาคือแฟนก็อดซิลล่าตัวจริง เวลาที่เราร่วมงานกับใครที่เป็นแฟนตัวยงขนานแท้ของตัวละครในหนังหรือซีรีส์ มันอดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกนับถือในตัวพวกเขา มันวิเศษมากที่ได้ร่วมงานกับคนที่มีความทุ่มเทและกระตือรือร้น ชื่นชมในโอกาสที่ได้ร่วมงานเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำการศึกษามาทั้งชีวิต”

เมื่อมาถึงช่วงการควบคุมตัว เพื่อความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของก็อดซิลล่า แมดิสันอาจจะสื่อสารกับก็อดซิลล่าไม่ได้เหมือนที่เจียทำกับคอง แต่ก็ไม่มีใครที่จะรู้สึกอยากปกป้องสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ถูกเข้าใจผิดอีกแล้ว “ฉันรู้สึกว่าแมดิสันเป็นวัยรุ่นคนนึงที่เราเข้าใจได้นะคะ เธอต้องผ่านอะไรหลายอย่างที่เป็นเรื่องไม่ธรรมดาจริงๆ” บราวน์เล่าให้ความเห็นพร้อมกับหัวเราะ “ฉันหมายถึงการเห็นสัตว์ประหลาดยักษ์อย่างก็อดซิลล่าอยู่ตรงหน้า คงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับใครหลายคนนัก แต่…

“เธอไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่มีบางอย่างอยากจะพูด และอยากให้มีใครรับฟัง อยากมีเสียงในการพูดออกมา” เธอเล่าต่อ “สำหรับฉันสิ่งที่เธอแสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเธอคือเรื่องของมุมมอง มันอาจจะต่างจากพ่อแม่ของเธอ แต่เธอมักจะวนเวียนอยู่กับผลงานของพวกเขาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันก็ส่งผลต่อเธอ และตอนนี้เธอก็เรียนรู้ได้ดีขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะสิ่งที่ก็อดซิลล่ากังวลอยู่”

ไคลี่ แชนด์เลอร์ กลับมารับบทเดิมจากหนังเรื่องก่อนในบทมาร์ค รัสเซล เมื่อโมนาร์ชเกิดความสงสัย และตอนนี้ดร.รัสเซลทำหน้าที่ตัวแทนผู้จัดการโครงการพิเศษของโมนาร์ช ในโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นตาและเพิ่งมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ในบทบาทใหมครั้งนี้ของเขา เขาต้องรับผิดชอบช่วยเหลือเรื่องสัตว์ประหลาดยักษ์ และขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับลูกสาวจอมดื้อ เขารู้ดีว่าแมดิสันต้องยืนกรานพร้อมเสี่ยงในโลกที่อันตรายเพื่อศึกษาสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดานี้แน่

แชนด์เลอร์ ไม่ได้ปรากฏตัวในหนังก็อดซิลล่าเป็นครั้งที่ 2 แต่ยังรวมถึงเรื่องคองด้วย เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาหาโลกแห่งการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดแห่งตำนาน เขาเล่าว่า “มันเหมือนการผจญภัยอย่างหนึ่งของนักแสดง เราได้ก้าวเข้าไปในฉากที่น่าทึ่งพวกนี้ ที่ผลิตจากคนที่เก่งสุดในวงการ และเรามีโอกาสสร้างจินตนาการขึ้นมาเองด้วย เพราะในฉากบางส่วนต้องใช้กรีนสกรีนเข้ามาช่วย”

แชนด์เลอร์ได้เล่าถึงพัฒนาของตัวละครจากที่เขาเคยแสดงเอาไว้ครั้งล่าสุด “ผมคิดวาคราวนี้เขาดูตอกย้ำกับประโยคที่คนสมัยก่อนชอบพูดกันว่า ‘หากเราเอาชนะพวกมันไม่ได้ ก็ร่วมมือกับพวกมันซะ’ เขามีส่วนร่วมในการปกป้องโลกจากพวกสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านี้มากขึ้น เขามีการย้ายตำแหน่งจากโมนาร์ช จนตอนนี้เขาแสดงให้เห็นว่าอยากมีส่วนควบคุมเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกมากขึ้น และเขาก็มีการเสนออะไรหลายอย่างให้เห็นตามนั้น”

Godzilla vs. Kong

และบงการลูกวัยรุ่นของเขาด้วยมั้ย?  “เธอเป็นวัยรุ่นครับและตัวละครของผมก็มีงานยุ่งตลอด เขาเลยไม่ใช่พ่อที่ดีมากนักเมื่อพูดถึงเวลาที่เขาควรใช้ร่วมกับเธอ แต่เขามีความตั้งใจดีสำหรับทุกอย่าง แน่นอนว่าการเดินทางวิ่งตามโลกและไล่ล่าก็อดซิลล่าอย่างที่เธอทำแบบวัยรุ่น หรือเหมือนที่หลายคนทำกันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเลย” นักแสดงชายยิ้ม

มีการสะท้อนให้เห็นถึงหลายเรื่องราวในหนังภาคก่อน แมดิสันดูจะกลายเป็น “นักล่าพายุ” เมื่อเป็นเรื่องขงสัตว์ประหลาดยักษ์ ครั้งนี้เธอร่วมมือกับเพื่อนสนิท จอช วาเลนไทน์ ทีรับบทโดยจูเลียน เดนนิสัน

“จอชมีความเนิร์ดสูงมากครับ เขาดูเหมือนเด็กขี้กลัวอยู่บ้าง แต่ก็หลงใหลพวกสัตว์ประหลาดยักษ์นี่ซะเหลือเกิน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะแมดิสันด้วย” เขากล่าว เดนนิสันไม่เข้าใจอะไรเรื่องการร่วมเดินทางเลยสักนิด “ผมรู้ว่ามันต้องสนุก และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับบทสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้คนอื่นในการผจญภัยที่น่ากลัวแบบนี้”

ฉากของพวกเขาอาจจะดูเครียด เมื่อเทียบกับชะตากรรมของโลกที่ต้องอยู่บนความสมดุล แต่นอกฉากกลับตรงกันข้าม “จูเลียนน่าทึ่งมากครับ เราเข้ากันได้ดีสุดๆ เขาชอบทำให้ผมหัวเราะตลอด เขาฉลาดและชอบทำตัวซุ่มซ่าม เป็นคนมีความรู้สึกละเอียดอ่อนมากตั้งแต่ผมเคยเจอมา และมีความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีอะไรอื่นที่ต้องการจากเพื่อนนักแสดงอีกแล้ว”

“มิลลี่เป็นคนที่เท่และวิเศษมากที่ได้ร่วมงานด้วยครับ” เดนนิสันกลาว เขายืนยันว่าเธอมีความร่าเริงอยู่ในตัว และเธอรู้ดีว่าจะกลั่นแกล้งคนอื่นในฉากได้อย่างไร “เธอทำให้ผมกลัวบ่อยมาก เธอชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ และโผลมาทำให้ผมตกใจ” เขาหัวเราะ “แต่โชคดีที่ผมไม่เป็นคนขวัญอ่อน ผมบอกได้เลยวาเตรียมรับมือสำหรับทุกอย่าง”

ตัวละครไบรอัน ไทรี เฮนรี ของเบอร์นี่ เฮย์ส คือตัวกระตุ้นแมดิสันให้ออกเดินทางตามความสงสัยของเธอ ลึกๆ แล้วเธอเข้ากับคนที่รู้สึกเหมือนเธอได้ดี เธอเชื่อว่าต้องมีเหตุผลที่ก็อดซิลล่ามีพฤติกรรมผิดปกติ เธอและจอชได้ดักสัญญาณโดยผ่านนักสร้างทฤษฎีทางพอดแคสต์ใต้ดิน ที่เชื่อว่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างเหตุการณ์ที่ผ่านมากับบริษัทที่เขาทำงานให้ในนาม APEX ผลลัพธ์ที่ออกมาดูไม่เหมือนกลุ่มฮีโร่ที่เราจะพบได้ในกลารผจญภับสุดตื่นเต้นข้ามโลกและเต็มไปด้วยความลึกลับ ซึ่งภัยที่เข้ามาคุกคามไม่ใช่แค่ตัวก็อดซิลล่า แต่รวมถึงอนาคตของโลกด้วย

Kong

“หากคองในหนังเหมือนการผจญภัยสู่อดีตและเป็นต้นกำเนิดของเหล่าสัตว์ประหลาดยักษ์ ส่วนอื่นของแมดิสัน เบอร์นี่ และจอชคงเหมือนการสำรวจสู่อนาคต ไม่ว่า ไม่ว่าโลกจะมีเพียงใบเดียวหรือไม่ก็ตาม” วินการ์ดกล่าว “มันฟังดูแล้วซีเรียส แต่การผจญภัยของพวกเขามีความสนุกสนานมาก เพราะนักแสดงทุกคนมีเสียงหัวเราะและเคมีเข้ากันได้ดีมาก พวกเขาสนุกสนานกันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอกล้องเดินหน้าพวกเขาก็หยุด พอเห็นแล้วก็ตลกดี”

เฮนรี่สนุกกับการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหนังที่มีการสืบทอดต่อกันมา “ก็อดซิลล่าเป็นสัตว์ร้ายกาจ! เขาอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ผมโตมาพร้อมกับมันและคิดว่าเคยดูมันมาทุกแบบแล้ว” เขากล่าว “มันสนุกดีครับเวลาที่ได้ดูกับเพื่อนๆ สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้จะเดินไปทั่วเมือง คอยทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง ผมคือแฟนพันธุ์แท้เลย และมันเหลือเชื่อมากที่ผมได้มีส่วนรวมในจักรวาลใบนี้”

นักสดงชายยังรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมของฝ่ายก็อดซิลล่าด้วย “ผมแอบหวังแบบนั้นอยู่ ฉะนั้นการได้มารับบทผู้วางแผนของ APEX ที่เริ่มเข้าใจว่ามันมีบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก จากนั้นยังมีมิลลี่กับจูเลียนที่พยายามหาคำตอบเพื่อทำความเข้าใจก็อดซิลล่า แทนที่จะพยายามทำลายเขา ถือเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ” เขากล่าว “ทั้งสองคนถ่ายทอดความคลั่งที่อยู่ในตัวผมออกมา การผจญภัยครั้งนี้มีความน่าตื่นเต้นมากครับ แต่ผมก็รักเบอร์นี่ เขาเป็นคนใจกว้างมากและค่อนข้างหลุดโลก แม้แต่เรื่องทฤษฎีการวางแผนกันอย่างลับๆ แต่ในความรู้สึกของผมเขาคือแชมป์เลยครับ เขามีความตั้งใจอย่างบริสุทธิ์ใจ และยากทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะมวลมนุษย์กำลังถูกเดิมพันอยู่”

เบอร์นี่ผู้ทำงานให้กับวงการ APEX เขาคือหนึ่งในคู่แข่งของโมนาร์ชที่บริหารโดยซีอีโอวอลเตอร์ ซิมมอนส์ เขามีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล ซิมมอนส์พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ภารกิจของ APEX ประสบความสำเร็จ เพื่อมั่นใจว่าโลกจะปลอดภัยจากการทำลายล้างของสิ่งมีชีวิตยักษ์ที่ตื่นขึ้นมา

เดเมียน บิเชอร์ ผู้รับบทผู้บริหารทรงพลังที่ร่วมภารกิจนี้ได้เล่าว่า “พออ่านบทแล้วไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเลยครับ เราอยากดูนังเรื่องนี้แน่ๆ” เขากล่าว “ก็อดซิลล่าและคองเหมือนคู่หูผู้ยิ่งใหญ่ ผมรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องไดโนเสาร์ตลอด และช่วงเวลานั้นในประวัติศาสตร์ที่สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์เหล่านั้นยังโลดแล่นอยู่บนโลก ไอเดียนั้น… ผมคิดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชมจดจ้องกับหนังแนวนี้ และอยากดูพวกเขาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

ในฐานะของเขาที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการ กองบัญชาการ APEX ของซิมมอนส์จะเห็นชัดเจนว่าสร้างขึ้นมาเพื่อข่มขวัญและสร้างความประทับใจ แต่บิเชอร์รู้สึกประทับใจมากกว่าเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในฉากต่างๆ “มันน่าทึ่งมากครับที่ได้เห็นศิลปะการออกแบบของพวกเขาและการออกแบบฉาก มันดูมหัศจรรย์มากครับ บรรยากาศมันทำให้เราทุ่มเทการทำงานมากขึ้นในฐานะของนักแสดง องค์ประกอบทุกอย่างต้องสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวละครมีความสมจริง มันสนุกมากครับ”

วินการ์ดได้เล่าถึงความเป็นอมตะของสัตว์ประหลาดยักษ์บนโลก และการมีองค์กรที่คล้ายคลึงกับโมนาร์ชคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย “ซิมมอนส์เป็นมหาเศรษฐีที่ใช้เงินเติมเต็มความฝันในการสร้างบริษัทนั้น เช่นเดียวกับโมนาร์ชที่มุ่งเน้นไปที่การจัดการเรื่องเหล่าสัตว์ประหลาด รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นบนโลกและมวลมนุษญ์ เดเมียนถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้ดีเยี่ยม ความร่าเริงที่เขาถ่ายทอดผ่านตัวละคร การชื่นชอบในเทคโนโลยีของเขาเหมือนกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ ซึ่งเป็นของเล่นใหม่ที่แพงมากซะด้วย”

ผู้ที่ทำงานให้ซิมมอนส์คือ เร็น เซริซาว่า ผู้ทำหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจของ APEX และลูกชายของบุคคลสำคัญแห่งโมนาร์ช ดร.อิชิโร่ เซริซาว่า เร็นเป็นคนที่ดูเท่และดูมีความลึกลับอยู่ในตัว เขาจะคอยควบคุมธุรกิจนี้ภายใต้เรดาร์ โดยบทนี้ได้นักแสดงชาย ชุน โอกูริ มารับบทตัวละครชื่อดัง

“APEX เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่พยายามปกป้องโลกจากสัตว์ประหลาดยักษ์” โอกูริอธิบาย เร็นเป็นคนช่วยสร้างเทคโนโลยีทีจะดึงคาวมสนใจจากสัตว์ประหลาดอยางก็อดซิลลาออกห่างจากมวลมนุษย์ เขารับคำสั่งโดยตรงจากซิมมอนส์ ส่วนมากแล้วนักแสดงชายต้องร่วมฉากกับบิเชอร์ เขาเล่าว่า “เดเมียนเป็นนักแสดงที่เก่งมากครับ และเขาก็ใจดีกับผมมากด้วย ผมสนุกที่ได้ร่วมงานกับเขาและทุกคนที่อยู่ในทีมนักแสดง”

โอกูริเองก็รู้สึกแบบเดียวกับผู้กำกับฯ วินการ์ด “คุณจะเห็นได้เลยวาอดัมสนุกกับการกำกับฯ เรื่องนี้ขนาดไหน และเขาทำให้มันสนุกสำหรับผมด้วย เขาพิถีพิถันกับการถ่ายทำหลายแบบ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกชอบมาก ผมคิดว่าผู้ชมจะตื่นเต้นเวลาที่ได้เห็นมัน”

แม้ว่า APEX จะอยู่บนเส้นทางเดียวกับโมนาร์ช แต่หลักการปฏิบัติกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซิมมอนส์เลือกที่จะตรวจสอบอยู่ห่างๆ อย่างแรกคือมีการส่งนาธาน ลินด์ไปจัดการแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่ของคองให้กับทีมของโมนาร์ช จากนั้นจึงทำการจับตัว Maia ลูกสาวของเขา โดยมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของ APEX

ไอซ่า กอนซาเลซ รับบทไมอา ซิมมอนส์ ผู้บริหารสูงสุดและผู้มีอำนาจสั่งการ เธอจะคอยคำนวณสิ่งต่างๆ และคอยเดินควบคุมเทคโนโลยีที่ทรงพลังมากที่สุดในโลก เธอร่วมภารกิจสู่ฮอลโลว์เอิร์ธด้วยความกระตือรือร้น แม้ว่าเธออาจต้องแลกอะไรที่มากกว่าเพื่อเดินทางสู่โลกใบใหม่อย่างกล้าหาญ

“ฉันรักการแสดงหนังแนวนี้ท่ามกลางบรรยากาศของเอ็ฟเฟ็กต์ CGI มันน่าทึ่งมาก และเรายังมีเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์อย่างครบเครื่องอีกด้วย” กอนซาเลซกล่าว “ตัวละครของฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างมนุษยชาติกับภารกิจส่วนตัว เราต้องถามตัวเองว่าเราจะเลือกอะรดี ซึ่งเราจะเห็นจากทั้งสองฝั่งว่าไม่มีใครเป็นตัวร้ายอย่างแท้จริง”

นอกจากเรื่องการเลือกฝั่งของตัวละครแล้ว กอนซาเลซยังตืน่เต้นที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงในเรื่อง “Godzilla vs. Kong” เธอเล่าว่า “นี่คือทีมงานที่น่าทึ่งมากเท่าที่ฉันเคยร่วมงานมาด้วย มีความหลากหลายทั้งเรื่องเชื้อชาติ สัญชาติ วัฒนธรรมและอายุ มีทั้งนักแสดงชาวลาติน แอฟริกัน-อเมริกัน, เอเชีย, สวีเดน และสหราชอาณาจักร สำหรับนักแสดงสาวน้อยอย่างมิลลี่ จูเลียน และเคย์ลีที่มารับบทสำคัญของเรื่องก็เหมือนกัน ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากค่ะ”

ตำนานต่างๆ เป็นเรื่องจริง เคยเกิดสงครามขึ้น และพวกมันคือผู้อยู่รอดตัวสุดท้าย

– ไอลีน แอนดรูว์ส, โมนาร์ช

Godzilla vs. Kong

สถานที่ / การออกแบบฉาก / เครื่องแต่งกาย

            กองถ่ายทำเรื่อง “Godzilla vs. Kong” มีการใช้สถานที่ในฮาวาย สหรัฐฯ และควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งต้องสร้างฉากที่มีความสมจริงและดูน่าทึ่ง ทั้งการต่อสู้บนบกและในท้องทะเล รวมถึง ฮอลโลว์เอิร์ธ อันน่าทึ่งที่จะเป็นจุดกำเนิดของสัตว์ประหลาดยักษ์ด้วย ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของวินการ์ดที่มีทั้งผู้กำกับภาพ เบ็น เซเรซิน ผู้ลำดับภาพ จอช แชฟเฟอร์ และผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ จอห์น “ดีเจ” เดสจาร์ดินส์ ร่วมด้วยผู้กำกับภาพ ทอม แฮมม็อค และโอเวน พาเทอร์สัน และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แอน โฟลีย์

            กองถ่ายเริ่มต้นกันที่ฮษวายบนเกาะโอวาฮู บรรดาดีไซน์เนอร์ได้ใช้ประโยชน์จากสภาพป่าของที่นั่นจำลองเป็นไบโอโดมของ Skull Island บนมหาสมุทรแปซิฟิคที่คองและเจียอาศัยอยู่ โดยมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จากโมนาร์ชคอยเฝ้าสังเกตการณ์ สถานที่จัดประชุมในฮาวายถูกจำลองเป็นบริเวณด้านในของทั้งโมนาร์ชและเอเป็กซ์ ส่วนสถานที่อื่นๆ ในพื้นที่บริเวณนั้นที่ใช้ถ่ายทำยังรวมถึง Lanai Lookout, the Kapolei Stages, Sand Island State Park, Kaimuki High School ที่จำลองเป็นโรงเรียนของแมดิสันและจอช สถานที่อีกหลายแห่งในโฮโนลูลูและทั่วบนเกาะ

อนุสาวรีย์ของยูเอสเอสมิสซูรี่ในเพิร์ลฮาร์เบอร์ และบางส่วนของสนามบินคาเลโลอาถูกจำลองเป็นจุดขนส่งคองข้ามทท้องทะเลสู่บ้านหลังใหม่ พื้นที่บริเวณนั้นยังใช้ในฉากสำคัญของเรื่องบางส่วนอีกด้วย วินการ์ดอธิบายว่า “เราถามตัวเอง ‘เรายังไม่เคยเห็นตัวละครเหล่านี้ต่อสู้กันที่ไหนบ้าง?’ เราเคยเห็นพวกมันสู้กันในเมือง ในป่า… แทบจะทุกบรรยากาศมาแล้ว แต่เราไม่เคยเห็นพวกมันสู้กันในมหาสมุทรเลย”

“ฮาวายสวยจนน่าทึ่งมาก” แฮมม็อคกล่าว “บางช่วงมันก็ดูวุ่นวายเพราะความแปรปรวนของสภาพอากาศ เราไม่มีทางรู้ว่าภูเขาไฟจะเป็นอย่างไร เรามีการออกสำรวจสถานที่สำหรับหนัง แล้วภูเขาไฟก็เริ่มระเบิดมีลาวาปะทุออกมาทำลายพื้นที่หายแห่งที่เราชอบ เราต้องคอยภาวนาขอความเมตตาจากทุกสิ่งที่นั่นตลอด”

            สำหรับการเดินทางไปที่ Gold Coast ประเทศออสเตรเลีย บริษัทได้ใช้พื้นที่บางส่วนสร้างฉากสำคัญ โดยมีการสร้างสะพาขนส่งเรือ รวมถึงแทงค์น้ำบริเวณด้านนอก บริเวณด้านหน้าและพื้นที่ควบคุมภารกิจของโมนาร์ช บริเวณด้านนอกที่เหมือนขั้วโลกใต้ และถนนที่พลุกพล่านของฮ่องกง ห้องควบคุมเฮลิคราฟต์ของ APEX และ ฮอลโลว์เอิร์ธ ขนาดใหญ่

            ผู้อำนวยการสร้างฯ เอริค แม็คเลียด เล่าว่า “ทีมงานชาวออสเตรเลียเป็นหนึ่งในทีมโปรดของผมเลย นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของผมในช่วง 4 ปีของที่นั่น ทีมงานเดิมหลายคนร่วมงานกันในหนังทั้ง 3 เรื่อง ในหนังที่มีความยิ่งใหญ่อลังการระดับนี้ มันต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม และคนที่เราจ้างมาต้องรับมือกับโปรเจ็กต์นี้ได้ ซึ่งผมคิดว่าออสเตรเลียคือที่สุดของโลกทั้ง 2 ด้านนี้แล้ว”

            วินการ์ดเห็นด้วยว่า “การถ่ายทำที่ควีนส์แลนด์มันวิเศษมาก มีพื้นที่ฉากอันงดงาม ทีมงานที่เกงเหลือเชื่อ ฉากที่มีความน่าสนใจอีกหลายแห่ง ตั้งแต่ในป่าไปถึงตัวเมืองต่างๆ เราพบทุกสิ่งที่เราต้องการได้จากที่นั่นเลยครับ”

            ฉากหนึ่งที่สำคัญมากในหนังตามที่แฮมม็อคเล่าให้ฟังคือ “ฉากฮอลโลว์เอิร์ธสำหรับผมมันท้าทายมากในแง่ของการออกแบบ เราพัฒนาขึ้นตามที่อดัมบอกเอาไว้ว่าอยากถ่ายทำจริงต่อหน้ากล้องให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันคือตัวผลักดันทุกสิ่ง เริ่มตั้งแต่การสังเกตรอบโลก ธรณีวิทยาที่แตกต่างกันไป ป่าไม้ที่มีสภาพแตกต่างกัน คิดภาพว่าเราจะใช้กล้องถ่ายอะไรได้จริงบ้าง และจะสร้างอะไรขึ้นมาให้ดูสมจริงและดูแปลกตาผู้ชมได้บ้าง สุดท้ายเลยได้ฉากที่ดูคล้ายจะคุ้นตาแต่ก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดซ่อนอยู่ เราไม่อยากเล่นอะไรกับมันจนไกลเกินไป เพราะมันยังคงเป็นโลกใบนี้ แค่เราอยากทำให้มันมีความโดดเด่นขึ้นมา

“เรามีการแบ่งแยกออกเป็นหลายส่วนและมาเฝ้าสังเกต เช่น เรื่องแสงไฟที่ เบ็น ตากล้องของเราจัดสภาพแสงได้ออกมาดีเยี่ยม” เขาเล่าต่อว่า “ตัวอย่างเช่นที่ฮาวายเรามีการสังเกตพายุสายฟ้าที่เกิดขึ้นตอนภูเขาไฟระเบิด แสงไฟตอนนั้นมีสภาพแบบไหน จากนั้นเอามาผสมกับพื้นที่ในป่าของออสเตรเลีย ข้อดีของการอยู่ที่ออสเตรเลียคือเราได้แรงบันดาลใจจากพื้นที่ต่างๆ ที่มีฟอสซิลของสิ่งมีชีวิต เช่น สวนสาธารณะอุทยานแห่งชาติวอลลีเมีย ที่นั่นเต็มไปด้วยปรง เฟิร์น พืชพันธุ์อีกหลายชนิด และยังมีพื้นที่ทางธรณีวิทยาที่ว่างเปล่า ซึ่งเราก็จะนำแรงบันดาลใจเหล่านั้นมารวมกัน”

พาเทอร์สันเล่าเสริมอีกว่าภาพที่เป็นแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดที่ว่า “เราจินตนาการถึงแกนกลางสำคัญี่ทำให้เกิดการสังเคราะห์แสงเพื่อช่วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ” จนท้ายที่สุดแล้วเขาเล่าว่า “มิเชล โมเอ็น ศิลปินของเราได้วาดภาพไว้เยอะมาก เรามีการใช้หลากสีสันสะท้อนออกมาให้ได้สีสันแบบพลอยโอปอลสีเหลือง เช่น คฑาที่คองถือจะมีสีคล้ายกับพลอยโอปอล ซึ่งเป็นสีที่พบได้ส่วนใหญ่ในพวกฟอสซิล”

ผู้อำนวยการสร้างฯ อเล็กซ์ การ์เซียรู้สึกว่า “การเดินทางผ่าน ฮอลโลว์เอิร์ธ เป็นภาพที่ชวนตื่นเต้นมาก อดัมคิดคอนเซ็ปต์นี้ร่วมกับทอมและโอเว่นให้โลกใบนี้ดูสมจริงและน่าทึ่งในตัวมัน แรงโน้มถ่วงจะกลับด้านเมื่อเราเข้าไปถึงช่วงกลาง และมีโครงสร้างอีกหลายส่วนที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า แถมยังมีอันตรายซ่อนอยู่ในทุกซอกมุม มีสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ตัวละครของเราในเรื่องเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน เมื่อเข้าไปถึงใจกลางของ ฮอลโลว์เอิร์ธ จะผ่านหลากหลายทิวทัศน์และอุปสรรคอีกมากมายหลายสิ่ง พวกเขาจะได้เข้าถึงพื้นที่แถบยุคกำเนิดโลก ซึ่งมีความเจริญบางอย่างเป็นหลักฐานบ่งชี้ให้เห็นที่นั่น และเมื่อเข้าไปถึงที่นั่นแล้วจะเห็นภาพชัดเจนว่าต้นกำเนิดของคองมาจากที่ไหน ที่นั่นยังมีวัดขนาดใหญ่และสัญลักษณ์โบราณ รวมถึงหลักฐานของการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นที่นั่น มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกน่าเหลือเชื่อมากในหนัง”

ในเรื่องการกำหนดขนาดของพื้นที่ตามจินตนาการ พาเทอร์สันเล่าว่า “เพราะเหล่าสัตว์ประหลาดมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์และวัดอย่างมหาศาล น่าจะใหญ่กว่าขนาดของมหาวิหารนักบุญเปโตรถึง 40 เท่าที่แต่เดิมก็มีขนาดใหญ่มากอยู่แล้ว เราไม่อยากถ่ายทำด้วยซีจีไปซะทุกฉาก เราอยากให้มีฉากที่จับต้องได้จริงตามบางส่วนของเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ด้วย เช่น นักวิทยาศาสตร์จากเอเป็กซ์และโมนาร์ชเห็นบรรยากาศโดยรอบเป็นอย่างไรบ้าง”

Godzilla vs. Kong

แม้ว่า ฮอลโลว์เอิร์ธ จะทำให้เกิดโอกาสแปลกๆ หลายอย่างในเรื่องของขนาดและความยิ่งใหญ่ พาเทอร์สันเล่าถึงมุมมองของเขาให้ฟังว่า “ผมคิดว่าความท้าทายที่ใหญ่สุดคือถนนของฮ่องกง เพื่อไม่ให้เป็นการหลุดอะไรออกไป ที่นั่นจะมีก็อดซิลล่าต่อสู้กับคอง และพวกมันทำลายพื้นที่เป็นวงกว้าง เราต้องสร้างฉากที่จับต้องได้จริงขึ้นมา มีการวางแผนว่าจะสร้างฉากไหนด้านนอกบ้าง แต่เราเลือกที่จะนำมาสร้างด้านในเพราะด้วยสภาพอากาศและเรื่องแสงสว่าง ผมคิดว่าฉากนั้นจะต้องออกมาดีมากแน่ๆ”

นักออกแบบยังควบคุมเรื่องงบประมาณออกมาได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย “ทุกฉากที่เราสร้างขึ้นมาและมีการถ่ายทำ จะถูกแยกส่วนออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ สำหรับฉากนั้นได้” เขายิ้ม

แฮมม็อคเล่าว่าทีมออกแบบต้องมีการปรับพื้นที่ของตัวเองด้วย “เป้าหมายอย่างหนึ่งคือการนำเสนอสิ่งที่แฟนๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับการต่อสู้ในนั้น แต่เราก็ต้องใส่รายละเอียดให้ก็อดซิลล่าด้วย” ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องมีการแบ่งสัดส่วนในการนำเสนอสถานที่ทั้งตัวเมืองหรือบริเวณที่มีตึกสูงด้วย “เราออกแบบฮ่องกงขึ้นมาใหม่โดยให้มีตึกสูงเสียดฟ้าที่ดูเหมือนต้นไม้ ฉะนั้นถึงเราจะคิดว่านั่นเป็นที่อุ่นใจของก็อดซิลล่า แต่ก็เหมือนเขากำลังเข้าไปในป่าของคอง เพราะคองได้เปรียบเรื่องความสูง การกระโดดและปีนป่านตึก พร้อมจะกระโจนใส่ก็อดซิลล่าได้ อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้พวกเขาได้เปรียบกันทั้งสองฝ่าย”

มันยิ่งเป็นการเพิ่มความสงสัยด้วยว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ “เวลาที่เราจัดฉากต่อสู้ระหว่างสองตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ เราอยากจะเห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาเพื่อความสมจริงในฉาก” วินการ์ดแนะนำ “จากความคิดนั้นทุกครั้งที่เราจับก็อดซิลล่าและคองมาประกบกัน เราจะให้พวกเขาอยู่ในบรรยากาศที่ดูร่วมสมัย ไม่ว่าจะย้อนเวลาด้วยฮอลโลว์เอิร์ธ หรือฮ่องกงในเวอร์ชันที่ดูเหนือจินตนาการ หวังว่ามันจะเป็นการสร้างความตราตรึงไว้บนโลกของสัตว์ประหลาดได้”

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แอน โฟลีย์ ยังใช้ความสร้างสรรค์ในการสร้างภาพลักษณ์และความรู้สึกของหนังลงไปด้วย “สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากในการออกแบบหนังเรื่องนี้ คือมีสถานที่น่าสนใจหลายแห่งที่ตัวละครไปเยือน เริ่มต้นจาก Skull Island” เธอกล่าว “ฉันอยากจัดเสื้อผ้าให้กับทุกคน ไม่ว่าจะฉากหลัง กองทัพทหาร และตัวละครหลักของเรา เพื่อให้รู้สึกสมจริงเข้ากับบรรยากาศของเกาะนั้น ทั้งโทนสีและเนื้อผ้าที่เราเลือกใช้

“กองกำลังของโมนาร์ช” เธอเล่าต่อว่า “ฉันมีการจำลองโทนสีที่เราเลือกขึ้นมา มันดูมีความเป็นเกาะนั้นมาก มีการใช้สีเขียว สีน้ำตาล และสีแนวเอิร์ธโทนเยอะมาก โดยเฉพาะสำหรับเจียที่ฉันอยากใส่ความทันสมัยลงไปในเสื้อผ้าของเธอมากสักหน่อย ผ้าที่ห่อหุ้มของชาวลาวีเป็นการบ่งบอกถึงชาติกำเนิดเผ่าพันธุ์เธอ ซึ่งจะมีลายลักษณ์อักษรของชาวลาวีบนผ้าที่เธอสวมใส่”

สำหรับนาธาน ลินด์ โฟลีย์พบแรงบันดาลใจที่มีความหลากหลายมาก “นาธานเป็นเด็กจากยุค 80 ช่วงต้นยุค 90 ตอนที่อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ดกับฉันคุยกันเรื่องตัวละครของเขา เราอยากสร้างความแตกต่างบางอย่าง และใส่ความสนุกเข้าไปในตัวเขาสักหน่อย แน่นอนว่าเขาคือฮีโร่ของหนังด้วย ฉะนั้นเขาต้องมีความรู้สึกบางอย่างที่สื่อถึงความกล้าหาญ แต่ขณะเดียวกันเราก็อยากให้เขาแสดงออกถึงความเนิร์ดออกมาด้วย อเล็กซานเดอร์รู้สึกว่านาธานน่าจะเป็นแฟนของพวกหนังอย่าง ‘Back to the Future’ และ ‘Lethal Weapon’ เราเลยใช้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แนวนั้นใส่ลงไปในเสื้อผ้าของเขาด้วย จนไปถึงรองเท้าหุ้มข้อทรงสูงของ Adidas ที่เราทำให้มันดูเก่าเหมือนเขาใช้มันตั้งแต่สมัยไฮสคูล รวมถึงเสื้อกั๊ก Marty McFly ของเขาด้วย

ขณะที่นาธานอาจแต่งตัวดูคล้ายกับเด็กวัยรุ่น ตัวแมดิสัน รัสเซลเองก็เช่นกัน โฟลีย์เล่าว่า “สำหรับแมดดี้ ตัวละครของมิลลี่ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเธอจากหนังภาคก่อน เธอเติบโตจากเด็กน้อยในภาคแรกสู่เด็กสาวในภาคนี้ เสื้อผ้าของเธอแสดงออกถึงความแข็งแกร่งบางอย่าง เราอยากให้เสื้อผ้าเป็นตัวแทนภารกิจของเธอ ทุกตัวละครในเรื่องต่างมีภารกิจ ซึ่งภารกิจของแมดดี้คือการช่วยก็อดซิลล่า ภารกิจของเจียคือการช่วยคอง และเสื้อผ้าของตัวละครอื่นสื่อถึงภารกิจที่ต้องเดินทางผ่านฮอลโลว์เอิร์ธ ไอเดียเรื่องแจ็คเก็ตของแมดดี้มาจากแม่ของเธอ เธอสานต่อภารกิจของแม่ในการช่วยเหลือเหล่าสัตว์ประหลาด โดยเฉพาะการช่วยเหลือก็อดซิลล่า นั่นคือคุณสมบัติพิเศษของตัวเธอ”

แต่โฟลีย์เล่าว่าการออกแบบอย่างหนึ่งที่เธอชอบในเรื่องคือเสื้อผ้าสำหรับฮอลโลว์เอิร์ธ ที่ทีมโมนาร์ชใส่ตอนที่เดินทางเข้าไป “มันเป็นสิ่งแรกเลยที่ฉันเริ่มร่วมงานกับอดัม” เธอจำได้ว่า “เราไม่อยากให้มันดูเหมือนชุดซูเปอร์ฮีโร่หรือชุดอวกาศ พวกเขากำลังเข้าไปในบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ฉะนั้นเสื้อผ้าต้องดูปกป้องพวกเขาได้ สิ่งหนึ่งที่อดัมเน้นย้ำเป็นพิเศษคือเขาอยากได้เนื้อผ้าที่มีความพลิ้วในตัวและมีการสะท้อนแสง ฉันศึกษาหลายเทคนิคจนสุดท้ายพบกับหมึกสีแดงสุดวิเศษ เราใช้มันปรินท์ลงไปบนเนื้อผ้าโดยตรง และใช้สีดำเป็นเบส จากนั้นเราจะปรินท์ลายสีทองแดงลงไปบนนั้น ฉันไม่เคยเห็นการใช้สีทองแดงลงบนเสื้อผ้าแบบนี้มาก่อนเลย ผลที่ได้คือเวลาชุดมีการเคลื่อนไหวสีสันก็จะเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับว่ามันไปสะท้อนกับแสงลักษณะไหน  มันเป็นการออกแบบสำหรับหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษเลยค่ะ เราไม่เคยเห็นผ้าแบบนี้ที่ไหนแน่ จากนั้นเรามีการเพิ่มสายฮาร์เนสปีนเขาเข้าไปด้วย เป็นฮาร์เนสที่ใช้งานจริงซึ่งเราดัดแปลงขึ้นมาสำหรับหนังเรื่องนี้เลย

แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวละครทุกตัวจะได้สวมชุดออกแนวผจญภัย “เดเมียน บิเชอร์ดูน่าทึ่งมากในเรื่องนี้ เขารู้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหน” โฟลีย์กล่าวชม “เขาสร้างความสนุกให้กับการลองเสื้อผ้าได้มากเท่าที่ฉันเคยเจอมา ตัวละครของเขามีความแปลก เราเลยใส่ลูกเล่นลงไปในลวดลายและพวกรายละเอียดต่างๆ ได้ เขายอมลองทำทุกอย่างเลยด้วย ฉันไม่อยากให้ตัวละครของเขาสวมชุดที่ดูโบราณ อยากให้มีความสนุกอยู่ในตัวเขา และสื่อถึงความละเอียดด้านแฟชั่นของวัลเตอร์ ซิมมอนส์ด้วยค่ะ”

การ์เซียเล่าถึงจินตนาการโดยรวมของหนังเรื่องนี้ว่า “อดัมเป็นคนที่มีสไตล์โดดเด่น หนังเรื่องนี้มีโทนสีที่โดดเด่นชัดเจนมาก ต้องขอบคุณอดัมและทีมออกแบบที่เก่งของเรา พวกเขายกระดับรายละเอียดของเนื้อเรื่องและสร้างความตื่นเต้นให้สถานที่ต่างๆ ได้ ในฐานะของผู้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา สิ่งที่พวกเขาฝากไว้ในฮอลโลว์เอิร์ธ มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก เราไม่เคยเห็นบนหน้าจอของหนังแฟรนไชส์เรื่องนี้มาก่อน มันสนุกมากครับที่ได้เห็นมัน”

เพื่อเพิ่มสีสันผ่านเสียงดนตรีและจินตนาการในโลกใบใหม่ของวินการ์ด พร้อมด้วยทีมศิลปินที่น่าทึ่งของพวกเขา ผู้กำกับฯ เลือกที่จะขอความร่วมมือจากทิม โฮลเคนบอร์ก

นักแต่งเพลงเปิดเผยว่า “ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของก็อดซิลล่าและคอง ผมเคยดูหนังก็อดซิลล่า 35 เรื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เลยรู้สึกอินมากที่จะได้ร่วมงานกับอดัมเพื่อทำให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นธรรมชาติ คองเป็นตัวละครที่โดดเด่นมานานกว่า 90 ปี มีบทเพลงในอดีตที่อยู่รอบตัวเขา และนี่เป็นโปรเจ็กต์ที่เหมาะมากสำหรับการใช้วงดนตรีขนาดใหญ่ โดยมีการแต่งเพลงจากสมองของผมผสมกับเครื่องดนตรีอิเลคทรอนิคร่วมสมัย ซึ่งจะมีความสอดคล้องกับยุค 80 และความเป็นจอห์น คาร์เพนเทอร์ด้วย 

“เพลงประกอบของเรื่องนี้” เขาเล่าต่อว่า “ผมพยายามตอกย้ำความคลั่งของก็อดซิลล่าและความมีมนุษยธรรมของคอง ส่วนอารมณ์ของหนังถือว่ามันสนุกมากที่มีการใส่ความบ้าในเรื่องวิทยาศาสตร์ของผมลงไป และมีการใส่เสียงสัตว์ประหลาดจากกลองใหญ่ขนาด 5 ฟุตและกีตาร์แอมป์ที่มีความสูง 13 ฟุต!”

“รายละเอียดที่เราแสดงให้เห็นผ่านภาพวิชวลในหนังเป็นเรื่องเทคโนโลยีต่อสู้กับโลกของธรรมชาติ มีการออกสำรวจเรื่องราวในอนาคตหรืออดีต มนุษย์มี (หรือไม่มี) ความรู้สึกเกี่ยวข้องกับธรรมาติ ทอมได้ถ่ายทอดทุกอย่างผ่านบทเพลงได้อย่างน่าทึ่ง จากที่เราทั้งคู่ต่างเป็นแฟนของสัตว์ประหลาดพวกนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมงานกับเขา ถือเป็นการคารวะต่อประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และยังได้ยินบทเพลงใหม่ๆ ที่โดดเด่นเป็นพิเศษในเนื้อเรื่องที่เราถ่ายทอดปัจจุบันด้วย”

สุดท้ายแล้ววินการ์ดกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ในฐานะที่เราเป็นแฟน เรารู้ว่าหนังพวกนี้มีค่าสำหรับผู้ชมขนาดไหน เราได้ใส่เซอร์ไพรส์บางอย่างลงไปด้วย มีอีสเตอร์เอ้กอีก 1-2 จุดสำหรับพวกเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวยงของสัตว์ประหลาดหรือเพิ่งมาดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าพวกเขาจะอินกับคองหรือก็อดซิลล่า ผมหวังว่าทุกคนจะสนุกตื่นเต้นไปพร้อมกับเรา พร้อมจังหวะหัวใจเต้นกับการต่อสู้ครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่อง”

Facebook Comments
ติดต่อ Maganetthailand.com
Don`t copy text!